การปรับแต่ง Landing Page เพื่อเพิ่มอัตรา Conversion และการสร้าง Lead
Landing Page คือหน้าเว็บที่ผู้เข้าชมจะถูกนำไปหลังจากคลิกที่ลิงก์จากโฆษณา อีเมล หรือการตลาดผ่านสื่อสังคม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในกระบวนการตลาดออนไลน์ โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้าหรือ Lead ด้วยการกระตุ้นให้เกิดการตอบโต้กับผู้ใช้ เช่น การกรอกแบบฟอร์ม การสมัครรับข้อมูล หรือการซื้อสินค้า
การปรับแต่ง Landing Page ที่ดีควรมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับโฆษณาหรือแคมเปญที่นำผู้เข้าชมมายังหน้าเว็บนั้น และควรมีการออกแบบที่เน้นไปที่การตอบโต้กับผู้ใช้ เช่น การใช้ปุ่ม Call to Action (CTA) ที่โดดเด่น การนำเสนอข้อมูลที่ชัดเจนและกระชับ และการใช้ภาพหรือวิดีโอที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชม
ผลกระทบของการปรับแต่ง Landing Page ต่ออัตรา Conversion
การปรับแต่ง Landing Page มีผลกระทบอย่างมากต่ออัตรา Conversion ซึ่งหมายถึงสัดส่วนของผู้เข้าชมที่ทำการกระทำตามที่ต้องการ เช่น การกรอกแบบฟอร์ม การสมัครสมาชิก หรือการซื้อสินค้า การปรับแต่ง Landing Page ที่ดีสามารถเพิ่มอัตรา Conversion ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยสามารถทำได้ดังนี้:
- การปรับแต่งเนื้อหา: การใช้ข้อความที่ชัดเจนและกระชับ เน้นประโยชน์และคุณค่า (Value Proposition) ที่ผู้เข้าชมจะได้รับจากการกระทำตามที่ต้องการ เช่น ข้อเสนอพิเศษหรือโปรโมชั่น
- การใช้ปุ่ม Call to Action (CTA): การออกแบบปุ่ม CTA ที่โดดเด่น ใช้สีที่แตกต่างจากส่วนอื่นของหน้า และใช้ข้อความที่กระตุ้นให้เกิดการกระทำ เช่น “สมัครตอนนี้” หรือ “รับข้อเสนอพิเศษ”
- การใช้ภาพและกราฟิก: การใช้ภาพหรือวิดีโอที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับเนื้อหา สามารถช่วยดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมและทำให้พวกเขาอยู่บนหน้าเว็บนานขึ้น
- การออกแบบที่เรียบง่าย: การลดสิ่งรบกวนและทำให้การนำทางในหน้าเว็บง่ายขึ้น ช่วยให้ผู้เข้าชมมุ่งเน้นไปที่การกระทำที่ต้องการ เช่น การกรอกแบบฟอร์ม
- การทดสอบและปรับปรุง: การใช้ A/B Testing เพื่อทดสอบการปรับแต่งต่าง ๆ และดูผลลัพธ์ว่าการปรับแต่งใดช่วยเพิ่มอัตรา Conversion ได้ดีที่สุด จากนั้นปรับปรุง Landing Page ตามผลลัพธ์ที่ได้
องค์ประกอบหลักของ Landing Page ที่มีประสิทธิภาพ
หัวข้อและคำบรรยายที่น่าสนใจ
หัวข้อและคำบรรยายของ Landing Page เป็นสิ่งแรกที่ผู้เข้าชมจะเห็นเมื่อเข้ามายังหน้าเว็บไซต์ของคุณ การสร้างหัวข้อที่น่าสนใจและคำบรรยายที่ดึงดูดใจเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมและกระตุ้นให้พวกเขาดำเนินการต่อไป ควรใช้คำที่กระชับ ชัดเจน และตรงประเด็น โดยเฉพาะการเน้นประโยชน์ที่ผู้เข้าชมจะได้รับจากผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ หัวข้อควรใช้คำที่ทำให้รู้สึกถึงความเร่งด่วนหรือความน่าสนใจ เช่น “ลดราคาพิเศษวันนี้เท่านั้น!” หรือ “รับข้อเสนอพิเศษฟรีทันที!”
การใช้ภาพและกราฟิกที่ดึงดูดใจ
ภาพและกราฟิกมีบทบาทสำคัญในการทำให้ Landing Page น่าสนใจและดึงดูดสายตาผู้เข้าชม ควรใช้ภาพที่มีคุณภาพสูงและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือผลิตภัณฑ์ที่คุณนำเสนอ ภาพที่ดีสามารถช่วยให้ผู้เข้าชมเข้าใจถึงสิ่งที่คุณต้องการสื่อได้อย่างรวดเร็วและชัดเจน นอกจากนี้ การใช้กราฟิกเชิงโต้ตอบ เช่น แอนิเมชันหรือภาพเคลื่อนไหว สามารถเพิ่มความน่าสนใจและทำให้หน้า Landing Page ของคุณโดดเด่นมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการใช้ภาพหรือกราฟิกที่มากเกินไปจนทำให้หน้าเว็บไซต์โหลดช้า ซึ่งอาจทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกหงุดหงิดและออกจากหน้าเว็บไปก่อน
การออกแบบที่เรียบง่ายและสะอาดตา
การออกแบบที่เรียบง่ายและสะอาดตาช่วยให้ผู้เข้าชมสามารถเข้าใจเนื้อหาและนำสายตาไปยังส่วนที่สำคัญได้อย่างรวดเร็ว ควรใช้สีที่ไม่ซับซ้อนและเข้ากันได้ดีเพื่อไม่ให้หน้าเว็บดูยุ่งเหยิง การจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ อย่างเป็นระเบียบ เช่น การวางหัวข้อ คำบรรยาย ปุ่ม Call to Action และฟอร์มกรอกข้อมูล ควรทำให้ผู้เข้าชมสามารถอ่านและเข้าใจเนื้อหาได้โดยง่าย นอกจากนี้ การใช้พื้นที่ว่าง (white space) อย่างเหมาะสมจะช่วยให้หน้าเว็บดูโปร่งโล่งและเน้นส่วนสำคัญได้ดีขึ้น
การออกแบบที่เรียบง่ายและสะอาดตายังช่วยให้หน้าเว็บโหลดได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มอัตรา Conversion เพราะผู้เข้าชมส่วนใหญ่มักจะไม่รอหน้าเว็บที่โหลดช้า การใช้ฟอนต์ที่อ่านง่ายและขนาดที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญในการทำให้เนื้อหาเข้าใจได้ง่ายและน่าสนใจ
การสร้างข้อเสนอที่น่าสนใจ (Value Proposition)
การนำเสนอประโยชน์ของผลิตภัณฑ์หรือบริการ
การสร้างข้อเสนอที่น่าสนใจเริ่มต้นจากการนำเสนอประโยชน์ของผลิตภัณฑ์หรือบริการให้ชัดเจนและตรงประเด็น ลูกค้าต้องสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าพวกเขาจะได้รับประโยชน์อะไรจากการใช้สินค้าหรือบริการของคุณ ข้อเสนอที่ดีควรมีองค์ประกอบดังนี้:
- ความชัดเจน: อธิบายประโยชน์หลักของผลิตภัณฑ์หรือบริการในลักษณะที่เข้าใจง่าย
- การแก้ปัญหา: แสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณช่วยแก้ไขปัญหาของลูกค้าอย่างไร
- คุณค่าที่เพิ่มขึ้น: เน้นย้ำถึงคุณค่าเพิ่มเติมที่ลูกค้าจะได้รับ เช่น การประหยัดเวลา การเพิ่มประสิทธิภาพ หรือการลดต้นทุน
การใช้ข้อเสนอพิเศษหรือโปรโมชั่น
การใช้ข้อเสนอพิเศษหรือโปรโมชั่นเป็นวิธีที่ดีในการกระตุ้นความสนใจของลูกค้าและเพิ่มอัตราการ Conversion ตัวอย่างเช่น:
- ส่วนลดพิเศษ: มอบส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนหรือสั่งซื้อในช่วงเวลาที่กำหนด
- ข้อเสนอจำกัดเวลา: สร้างความเร่งด่วนโดยการให้ข้อเสนอที่มีระยะเวลาจำกัด
- ของแถมหรือโบนัส: เสนอสมนาคุณหรือโบนัสพิเศษให้กับลูกค้าที่ทำการสั่งซื้อ
การใช้ฟอร์มเพื่อการสร้าง Lead ที่มีประสิทธิภาพ
การออกแบบฟอร์มที่ใช้งานง่าย
การออกแบบฟอร์มที่ใช้งานง่ายเป็นสิ่งสำคัญในการสร้าง Lead ที่มีประสิทธิภาพ:
- การจัดวางที่เรียบง่าย: ใช้การจัดวางที่เป็นระเบียบและไม่ซับซ้อน เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถกรอกข้อมูลได้ง่าย
- การลดจำนวนช่องที่ต้องกรอก: ขอข้อมูลเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น เช่น ชื่อ อีเมล และเบอร์โทรศัพท์ เพื่อลดความยุ่งยากในการกรอกฟอร์ม
- การใช้ปุ่ม Call-to-Action (CTA) ที่เด่นชัด: ปุ่ม CTA ควรมีสีสันที่โดดเด่นและข้อความที่ชัดเจน เช่น “ลงทะเบียนตอนนี้” หรือ “รับข้อเสนอพิเศษ”
ข้อมูลที่ควรขอจากผู้ใช้งาน
เพื่อให้การสร้าง Lead มีประสิทธิภาพ ควรขอข้อมูลที่จำเป็นจากผู้ใช้งาน เช่น:
- ชื่อและนามสกุล: เพื่อใช้ในการสื่อสารที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น
- อีเมล: เพื่อส่งข้อมูลและโปรโมชั่น
- เบอร์โทรศัพท์: เพื่อการติดต่อที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- ข้อมูลเพิ่มเติมตามความเหมาะสม: เช่น บริษัทที่ทำงาน ตำแหน่งงาน หรือความสนใจเฉพาะทาง (หากมี)
การตั้งค่าฟอร์มเพื่อเพิ่ม Conversion
การตั้งค่าฟอร์มให้เหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มอัตรา Conversion ได้:
- การใช้ Autocomplete: เพิ่มความสะดวกในการกรอกข้อมูลด้วยฟังก์ชัน Autocomplete
- การแสดงความปลอดภัย: แสดงสัญลักษณ์ความปลอดภัยหรือคำรับรองจากลูกค้า เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
- การทดสอบ A/B: ทดสอบรูปแบบฟอร์มต่าง ๆ เพื่อหาแบบที่มีอัตรา Conversion สูงที่สุด
- การตั้งค่าการติดตามผล: ใช้เครื่องมือติดตามผลเพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพของฟอร์มอย่างต่อเนื่อง
การเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับ Landing Page
ความน่าเชื่อถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถเพิ่มอัตรา Conversion และการสร้าง Lead ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ใช้งานมักจะตัดสินใจลงทะเบียนหรือทำการซื้อจากเว็บไซต์ที่พวกเขารู้สึกไว้วางใจ การเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับ Landing Page สามารถทำได้หลายวิธีดังนี้:
การใช้รีวิวและคำชื่นชมจากลูกค้า
การใช้รีวิวและคำชื่นชมจากลูกค้าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานที่เข้ามาใน Landing Page ของคุณ การแสดงรีวิวจากลูกค้าที่พึงพอใจสามารถสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มโอกาสในการ Conversion ได้
- เลือกรีวิวที่เป็นตัวแทน: เลือกรีวิวจากลูกค้าที่มีความหลากหลายและสามารถเป็นตัวแทนของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ รีวิวที่เป็นไปในทางบวกจะช่วยเสริมความมั่นใจ
- แสดงรูปภาพของลูกค้า: การแสดงรูปภาพของลูกค้าที่ให้รีวิวช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและทำให้รีวิวนั้นดูเป็นธรรมชาติและน่าเชื่อถือมากขึ้น
- ใช้วิดีโอรีวิว: วิดีโอรีวิวจากลูกค้าจริงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือได้อย่างมาก เพราะผู้ใช้งานสามารถเห็นและได้ยินความคิดเห็นจากลูกค้าจริงๆ
การแสดงตรารับรองหรือรางวัล
การแสดงตรารับรองหรือรางวัลที่ธุรกิจของคุณได้รับเป็นวิธีที่ดีในการเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ การมีตรารับรองจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือหรือรางวัลที่ได้รับจากองค์กรที่มีชื่อเสียงสามารถช่วยให้ผู้ใช้งานมั่นใจในคุณภาพและความน่าเชื่อถือของธุรกิจคุณ
- แสดงตรารับรองจากองค์กรที่เชื่อถือได้: เช่น ISO, BBB (Better Business Bureau), หรือรางวัลต่างๆ จากสถาบันที่ได้รับการยอมรับในวงการ
- แสดงโลโก้ของพันธมิตรหรือผู้ร่วมงาน: การแสดงโลโก้ของบริษัทหรือองค์กรที่คุณร่วมงานด้วย ซึ่งมีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ
- แสดงผลงานที่ได้รับการรับรอง: หากคุณได้รับการรับรองจากหน่วยงานหรือองค์กรใด ควรแสดงผลงานหรือโครงการที่ได้รับการรับรองนั้นๆ บน Landing Page ของคุณ
การให้ข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ใช้งานคำนึงถึงเมื่อทำการติดต่อหรือทำธุรกรรมออนไลน์ การให้ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยและนโยบายความเป็นส่วนตัวของคุณสามารถช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานได้
- แสดงนโยบายความเป็นส่วนตัวอย่างชัดเจน: สร้างหน้านโยบายความเป็นส่วนตัวที่เข้าใจง่ายและสามารถเข้าถึงได้จาก Landing Page ของคุณ ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลและวิธีการใช้งานข้อมูลของผู้ใช้งาน
- ใช้ใบรับรอง SSL: การใช้ใบรับรอง SSL (Secure Sockets Layer) เพื่อการเข้ารหัสข้อมูลช่วยให้ผู้ใช้งานรู้สึกปลอดภัยเมื่อทำการส่งข้อมูลส่วนบุคคลบนเว็บไซต์ของคุณ
แสดงมาตรการความปลอดภัย: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการที่คุณใช้เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เช่น การใช้ไฟร์วอลล์ การอัปเดตระบบอย่างสม่ำเสมอ และการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง
การทดสอบและปรับปรุง Landing Page
การปรับแต่งและพัฒนา Landing Page อย่างต่อเนื่องเป็นกระบวนการที่สำคัญเพื่อเพิ่มอัตรา Conversion และสร้าง Lead ที่มีคุณภาพ โดยมีขั้นตอนหลักๆ ได้แก่ การทดสอบ A/B Testing, การวิเคราะห์ผลลัพธ์และการปรับปรุงตาม Feedback และการใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อหาจุดที่ควรปรับปรุง
การทดสอบ A/B Testing
A/B Testing เป็นวิธีการที่ใช้ในการทดสอบและเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างสองเวอร์ชันของ Landing Page เพื่อดูว่าเวอร์ชันใดให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในการเพิ่ม Conversion หรือการสร้าง Lead กระบวนการ A/B Testing ประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้:
- กำหนดวัตถุประสงค์การทดสอบ: ก่อนเริ่มการทดสอบ ต้องกำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เช่น ต้องการเพิ่มจำนวนคลิกที่ปุ่ม CTA (Call to Action) หรือเพิ่มจำนวนผู้สมัครรับข่าวสาร
- สร้างเวอร์ชัน A และ B: เวอร์ชัน A คือ Landing Page ที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ส่วนเวอร์ชัน B คือการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงบางส่วน เช่น การเปลี่ยนหัวข้อ การปรับสีของปุ่ม CTA หรือการเพิ่มรีวิวลูกค้า
- แบ่งกลุ่มผู้เข้าชม: แบ่งผู้เข้าชมเว็บไซต์ออกเป็นสองกลุ่มเท่าๆ กัน โดยกลุ่มหนึ่งจะเห็นเวอร์ชัน A และอีกกลุ่มหนึ่งจะเห็นเวอร์ชัน B
- วิเคราะห์ผลลัพธ์: เก็บข้อมูลจากการทดสอบ เช่น จำนวนคลิก, อัตรา Conversion หรือจำนวน Lead ที่ได้จากแต่ละเวอร์ชัน เพื่อวิเคราะห์ว่าเวอร์ชันใดให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
การวิเคราะห์ผลลัพธ์และการปรับปรุงตาม Feedback
เมื่อการทดสอบ A/B Testing เสร็จสิ้นและได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน ควรทำการวิเคราะห์ผลลัพธ์และนำ Feedback มาปรับปรุง Landing Page ต่อไป โดยมีขั้นตอนดังนี้:
- วิเคราะห์ข้อมูล: ศึกษาข้อมูลที่ได้จากการทดสอบ เช่น การเปรียบเทียบอัตรา Conversion ระหว่างเวอร์ชัน A และ B เพื่อหาว่าส่วนใดของ Landing Page ที่มีผลต่อการเพิ่ม Conversion
- รับ Feedback จากผู้ใช้งาน: การรับฟัง Feedback จากผู้ใช้งานหรือผู้ที่มีส่วนร่วมในการใช้ Landing Page เป็นสิ่งสำคัญในการปรับปรุง ควรทำการสำรวจหรือสอบถามความคิดเห็นจากผู้ใช้งานเกี่ยวกับประสบการณ์การใช้งาน
- ปรับปรุง Landing Page: นำข้อมูลและ Feedback ที่ได้มาปรับปรุง Landing Page เช่น การปรับเปลี่ยนหัวข้อ การปรับดีไซน์ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น หรือการเพิ่มข้อมูลที่เป็นประโยชน์
การใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อหาจุดที่ควรปรับปรุง
เครื่องมือวิเคราะห์เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้สามารถเข้าใจพฤติกรรมของผู้เข้าชมและหาจุดที่ควรปรับปรุงบน Landing Page ได้ดียิ่งขึ้น โดยมีเครื่องมือที่แนะนำดังนี้:
- Google Analytics: เครื่องมือนี้ช่วยให้สามารถติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมของผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้ เช่น อัตราการเข้าชม, อัตราการตีกลับ (bounce rate) และเวลาที่ใช้ในการเข้าชมหน้าเว็บ
- Hotjar: เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์ความร้อน (heatmap) และการบันทึกการเคลื่อนไหวของผู้เข้าชม ทำให้เห็นภาพรวมของการเคลื่อนไหวและการคลิกบน Landing Page
- Crazy Egg: ช่วยในการสร้าง heatmap และแสดงภาพรวมของการคลิกและการเลื่อนบนหน้าเว็บ ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าส่วนใดของ Landing Page ที่ผู้เข้าชมสนใจมากที่สุด
ตัวอย่าง Case Study จากธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
การปรับแต่ง Landing Page ที่สร้างผลลัพธ์จริง
หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจคือธุรกิจ E-commerce ชื่อดังที่ทำการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ธุรกิจนี้พบว่าอัตรา Conversion ของ Landing Page เดิมต่ำกว่าที่คาดหวัง แม้ว่าจะมีปริมาณการเข้าชมที่สูงอยู่แล้วก็ตาม เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ทีมงานได้ดำเนินการปรับแต่ง Landing Page อย่างละเอียด ดังนี้:
ปรับปรุงหัวข้อและคำบรรยาย (Headline and Subheadline)
- เดิม: “Welcome to Our Shop”
- ปรับใหม่: “ค้นพบสินค้าใหม่ล่าสุดพร้อมส่วนลดพิเศษ 20% สำหรับคุณ”
- ผลลัพธ์: การเปลี่ยนหัวข้อให้มีความน่าสนใจและเสนอข้อเสนอพิเศษทันที ทำให้อัตราการคลิก (CTR) เพิ่มขึ้น 15%
การใช้ภาพและกราฟิกที่ดึงดูดใจ (Engaging Visuals and Graphics)
- เดิม: ใช้ภาพสินค้าที่ไม่ได้เน้นคุณภาพ
- ปรับใหม่: ใช้ภาพสินค้าที่คมชัดและมีการตกแต่งภาพให้สวยงามพร้อมกับการใช้กราฟิกที่สื่อถึงแบรนด์
- ผลลัพธ์: การปรับปรุงภาพทำให้เวลาที่ผู้ใช้ใช้บนหน้าเพจเพิ่มขึ้น 20%
การเพิ่มวิดีโอแนะนำสินค้า (Product Introduction Video)
- เพิ่มวิดีโอสั้น ๆ ที่แนะนำสินค้าและวิธีการใช้งาน
- ผลลัพธ์: ทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกมีส่วนร่วมและเข้าใจสินค้ามากขึ้น ส่งผลให้อัตราการตัดสินใจซื้อเพิ่มขึ้น 10%
การทดสอบ A/B Testing กับ Call to Action (CTA)
- เดิม: “Buy Now”
- ทดสอบใหม่: “Get Your 20% Off Today”
- ผลลัพธ์: CTA ใหม่ที่เน้นไปที่ข้อเสนอพิเศษทำให้อัตราการคลิกเพิ่มขึ้น 25%
การวิเคราะห์กลยุทธ์และผลลัพธ์ที่ได้
หลังจากการปรับแต่ง Landing Page ทั้งหมด ทีมงานได้ทำการวิเคราะห์ผลลัพธ์โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์ต่าง ๆ พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในหลายด้าน:
อัตรา Conversion (Conversion Rate)
- ก่อนปรับแต่ง: 2.5%
- หลังปรับแต่ง: 4.2%
- เพิ่มขึ้น: 68%
อัตราการคลิก (Click-Through Rate, CTR)
- ก่อนปรับแต่ง: 18%
- หลังปรับแต่ง: 28%
- เพิ่มขึ้น: 55%
เวลาที่ใช้บนหน้าเพจ (Time on Page)
- ก่อนปรับแต่ง: 1 นาที 20 วินาที
- หลังปรับแต่ง: 1 นาที 45 วินาที
- เพิ่มขึ้น: 31%
อัตราการตัดสินใจซื้อ (Purchase Decision Rate)
- ก่อนปรับแต่ง: 1.5%
- หลังปรับแต่ง: 2.8%
- เพิ่มขึ้น: 87%
การปรับแต่ง Landing Page ตามกลยุทธ์ที่กล่าวมาได้แสดงให้เห็นว่า การปรับแต่งที่เน้นให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการออกแบบเนื้อหา การใช้ภาพและกราฟิก หรือการใช้ข้อเสนอที่น่าสนใจ สามารถส่งผลให้อัตรา Conversion และการสร้าง Lead เพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ