ทำความรู้จักการใช้ Programmatic Advertising ในการตลาด

ทำความรู้จักการใช้ Programmatic Advertising ในการตลาด

การใช้ Programmatic Advertising ในการตลาด

ความหมายและหลักการของ Programmatic Advertising

Programmatic Advertising หรือการโฆษณาแบบโปรแกรมมาติก เป็นการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติในการซื้อขายพื้นที่โฆษณาผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ทำให้ผู้โฆษณาสามารถเจาะจงเป้าหมายได้แม่นยำขึ้น ช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการจัดการ ซึ่งต่างจากวิธีการโฆษณาแบบดั้งเดิมที่มักจะต้องใช้การติดต่อโดยตรงกับผู้ขายพื้นที่โฆษณาและมีกระบวนการที่ซับซ้อนและเวลาในการดำเนินงานที่ยาวนาน

วิธีการของการโฆษณาแบบโปรแกรมมาติก

  1. การใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ: การโฆษณาแบบโปรแกรมมาติกใช้แพลตฟอร์มอัตโนมัติ (เช่น Demand-Side Platforms หรือ DSPs) ที่ช่วยให้ผู้โฆษณาสามารถซื้อพื้นที่โฆษณาได้โดยอัตโนมัติและในเวลาจริง (Real-Time Bidding หรือ RTB) ซึ่งเป็นการประมูลพื้นที่โฆษณาที่เกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่มิลลิวินาที
  2. การเจาะจงเป้าหมาย: โดยใช้ข้อมูลผู้ใช้จากหลายแหล่ง รวมถึงประวัติการเข้าชมเว็บไซต์ พฤติกรรมการซื้อ และข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อทำการโฆษณาที่ตรงกับความสนใจและความต้องการของแต่ละบุคคล
  3. การเพิ่มประสิทธิภาพโดยอัตโนมัติ: ระบบ Programmatic จะวิเคราะห์ผลลัพธ์ของโฆษณาและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การโฆษณาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มอัตราการตอบสนอง (conversion rates) และ ROI (Return on Investment)

การนำเทคโนโลยีการโฆษณาแบบโปรแกรมมาติก มาใช้ทำให้วงการโฆษณาเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ผู้โฆษณา ดังนี้

  • เข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือวิเคราะห์ได้มากขึ้น: ช่วยให้ผู้โฆษณามีความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับตลาดและเป้าหมาย ทำให้สามารถปรับแต่งแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย: โดยการลดขั้นตอนและกระบวนการที่ซับซ้อน ทำให้การโฆษณาเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีต้นทุนที่ต่ำกว่า
  • พิ่มประสิทธิภาพของโฆษณา: ด้วยการวางโฆษณาที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสมและในบริบทที่เหมาะสมที่สุด

การใช้การโฆษณาแบบโปรแกรมมาติก ในการตลาดจึงไม่เพียงแต่เป็นการปรับปรุงวิธีการซื้อขายพื้นที่โฆษณาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงวิธีการเข้าถึงและการสื่อสารกับลูกค้าที่เป็นเป้าหมาย ทำให้การโฆษณาดิจิทัลก้าวหน้าไปอีกขั้นในยุคสมัยใหม่นี้

ประเภทของ Programmatic Advertising

การโฆษณาแบบโปรแกรมเมติก คือ การใช้ซอฟต์แวร์ในการซื้อและขายพื้นที่โฆษณาแบบอัตโนมัติ โดยมีการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเพื่อจัดสรรโฆษณาให้แสดงถึงผู้ชมที่เหมาะสมที่สุด โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการทางมนุษย์ทั่วไป ประเภทของ การโฆษณาแบบโปรแกรมมาติกสามารถจำแนกได้ดังนี้:

  1. Real-Time Bidding (RTB)

Real-Time Bidding หรือการประมูลเรียลไทม์ คือรูปแบบของการโฆษณาโปรแกรมเมติกที่ใช้ระบบประมูลแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะมีการซื้อขายพื้นที่โฆษณาในเวลาจริง ความพิเศษของ RTB คือมันช่วยให้ผู้โฆษณาสามารถเสนอราคาสำหรับพื้นที่โฆษณาที่ต้องการบนเว็บไซต์ต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที ขึ้นอยู่กับคุณภาพและความเหมาะสมของผู้ชมเป้าหมายที่พวกเขาต้องการเข้าถึง การประมูลนี้จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่หน้าเว็บกำลังโหลด และจะเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่กี่มิลลิวินาที

  1. Private Marketplace (PMP)

Private Marketplace เป็นการประมูลที่มีการควบคุมมากขึ้น เมื่อเทียบกับ RTB ซึ่งผู้ขายโฆษณาหรือผู้ให้บริการพื้นที่โฆษณาจะเปิดการประมูลเฉพาะกับกลุ่มผู้ซื้อที่ได้รับเชิญเท่านั้น การเชิญนี้มักจะอิงจากคุณภาพหรือเงื่อนไขการเข้าถึงที่เข้มงวดกว่าในตลาดโอเพ่น ผู้โฆษณาที่เข้าร่วมใน PMP สามารถมั่นใจได้ว่าพื้นที่โฆษณาที่พวกเขาซื้อมาจะเหมาะสมกับแบรนด์และคุณภาพมากกว่าการซื้อผ่าน RTB ทั่วไป

  1. Guaranteed Deals

Guaranteed Deals หรือการจัดการซื้อขายที่มีการรับประกัน คือการแลกเปลี่ยนพื้นที่โฆษณาโดยมีการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเกี่ยวกับเงื่อนไขบางประการโดยไม่ต้องผ่านระบบประมูล เช่น จำนวนการแสดงโฆษณา ราคาต่อการแสดงโฆษณา และช่วงเวลาของแคมเปญ ทำให้ผู้โฆษณาสามารถวางแผนงบประมาณและกลยุทธ์การตลาดได้ดียิ่งขึ้นเนื่องจากมีความแน่นอนในราคาและผลลัพธ์ที่จะได้รับ

      แต่ละประเภทของการโฆษณาแบบโปรแกรมมาติก มีคุณสมบัติและการใช้งานที่เหมาะสมกับเป้าหมายและงบประมาณของแคมเปญโฆษณาแตกต่างกัน การเลือกใช้ประเภทที่เหมาะสมจะช่วยให้ผู้โฆษณาสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการลงทุนของพวกเขาได้มากยิ่งขึ้น การเข้าใจและการประยุกต์ใช้การโฆษณาแบบโปรแกรมมาติกอย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นกุญแจสำคัญในการแข่งขัน

วิธีการทำงานของ Programmatic Advertising

การโฆษณาแบบโปรแกรมเมติก เป็นการจัดการการแสดงโฆษณาที่เหมาะสมและตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ในเสี้ยววินาที การทำงานของระบบนี้รวมถึงการใช้ Supply-Side Platforms (SSPs), Demand-Side Platforms (DSPs), และ Data Management Platforms (DMPs) ซึ่งทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อจัดการกับการซื้อขายพื้นที่โฆษณา ดังนี้:

  1. Supply-Side Platforms (SSPs)

Supply-Side Platforms หรือ SSPs เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้จัดพิมพ์หรือเว็บไซต์ผู้ให้บริการสื่อสามารถขายพื้นที่โฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ SSPs จะจัดการกับพื้นที่โฆษณาเหล่านั้นโดยอัตโนมัติ และให้ผู้โฆษณามีโอกาสเข้าถึงผู้ชมที่เหมาะสมที่สุด ดังนี้

  • จัดเรียงและนำเสนอพื้นที่โฆษณา: จัดการข้อมูลและเพิ่มคุณภาพของการแสดงโฆษณา เพื่อทำให้เหมาะสมกับผู้โฆษณาที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
  • สร้างรายได้จากพื้นที่โฆษณา: ตั้งราคาและจัดการการประมูลพื้นที่โฆษณาเพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด
  1. Demand-Side Platforms (DSPs)

Demand-Side Platforms หรือ DSPs เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้โดยผู้โฆษณาเพื่อซื้อพื้นที่โฆษณาอัตโนมัติ DSPs มีหน้าที่หลักในการ:

  • ค้นหาและเลือกพื้นที่โฆษณา: DSP จะวิเคราะห์ข้อมูลจาก SSPs เพื่อหาพื้นที่โฆษณาที่ตรงกับคุณสมบัติที่ผู้โฆษณาต้องการ
  • ประมูลพื้นที่โฆษณา: ดำเนินการประมูลพื้นที่โฆษณาโดยอัตโนมัติ ตามงบประมาณและเป้าหมายของผู้โฆษณา
  1. Data Management Platforms (DMPs)

Data Management Platforms หรือ DMPs จัดการและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้จากหลายแหล่ง เพื่อสร้างโปรไฟล์ผู้ชมที่แม่นยำ ซึ่งช่วยให้ผู้โฆษณาและผู้จัดพิมพ์สามารถ:

  • วิเคราะห์ข้อมูลผู้ชม: รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ และแหล่งข้อมูลภายนอกเพื่อสร้างภาพรวมของพฤติกรรมและความสนใจของผู้ชม
  • ปรับปรุงคุณภาพของการแสดงโฆษณา: ใช้ข้อมูลที่วิเคราะห์ได้เพื่อปรับแต่งและเพิ่มประสิทธิภาพการเลือกและการแสดงโฆษณา

การทำงานร่วมกันของ SSPs, DSPs, และ DMPs ในระบบการโฆษณาแบบโปรแกรมเมติกทำให้กระบวนการซื้อขายโฆษณาเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีอัลกอริทึมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในทุกๆ การแสดงโฆษณา จึงช่วยให้ทั้งผู้โฆษณาและผู้จัดพิมพ์สามารถเข้าถึงผู้ชมที่ต้องการได้แม่นยำและเหมาะสมที่สุด อีกทั้งยังเพิ่มรายได้และคุณภาพของการโฆษณาในวงกว้าง

การโฆษณาแบบโปรแกรมเมติกใช้ข้อมูลอย่างไรในการหาเป้าหมายโฆษณาที่เหมาะสมและการปรับเปลี่ยนโฆษณาให้ตรงกับผู้ชม

  1. การใช้ข้อมูลเพื่อหาเป้าหมายโฆษณาที่เหมาะสม

การโฆษณาแบบโปรแกรมมาติกใช้ข้อมูลจำนวนมากเพื่อวิเคราะห์และหาเป้าหมายที่เหมาะสมสำหรับแคมเปญโฆษณา ข้อมูลเหล่านี้รวมถึง:

  • ข้อมูลพฤติกรรมผู้ใช้: ข้อมูลนี้ได้มาจากการติดตามพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้ เช่น เว็บไซต์ที่เยี่ยมชม, ค้นหาที่ทำ, และสินค้าที่เขาหรือเธอแสดงความสนใจ
  • ข้อมูลประชากรศาสตร์: อายุ, เพศ, รายได้, ระดับการศึกษา ซึ่งสามารถบ่งชี้ความต้องการและสนใจของกลุ่มเป้าหมาย
  • ข้อมูลสถานที่: การใช้ข้อมูลทางภูมิศาสตร์เพื่อเข้าถึงผู้ชมในพื้นที่ที่เฉพาะเจาะจง ทำให้สามารถนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับสถานที่และวัฒนธรรมของผู้ชม

การรวบรวมข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้สามารถสร้างโปรไฟล์ผู้ชมที่ชัดเจน และจับคู่โฆษณากับผู้ชมที่มีโอกาสสูงที่สุดในการตอบสนองต่อข้อเสนอนั้นๆ ด้วยความสามารถในการปรับเปลี่ยนแคมเปญแบบเรียลไทม์ การโฆษณาแบบนี้ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าโฆษณาแบบดั้งเดิมอย่างมาก

  1. การปรับเปลี่ยนโฆษณาให้ตรงกับผู้ชม

อัลกอริธึมของการโฆษณาแบบโปรแกรมเมติก ไม่เพียงแต่เลือกผู้ชมที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังปรับเนื้อหาโฆษณาให้ตรงกับความต้องการและความสนใจของผู้ชมนั้นๆ ด้วย การปรับแต่งเหล่านี้รวมถึง:

  • การเลือกภาพและข้อความ: การใช้ข้อมูลที่ได้รับจากโปรไฟล์ผู้ชมเพื่อปรับภาพและข้อความในโฆษณาให้ตอบสนองต่อปัจจัยทางประชากรศาสตร์และพฤติกรรม
  • การปรับเทคนิคการนำเสนอ: การเลือกเทคนิคการนำเสนอ (เช่น วิดีโอ, ภาพนิ่ง, หรือข้อความเคลื่อนไหว) ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับกลุ่มเป้าหมายนั้นๆ
  • การทดสอบ A/B: การทำ A/B Testing เพื่อดูว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในโฆษณาส่งผลต่อการตอบสนองของผู้ชมอย่างไร

การใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงโฆษณาทำให้โฆษณานั้นๆ ไม่เพียงแต่เหมาะสมกับผู้ชมมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเพิ่มโอกาสในการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่มีคุณภาพและการเปลี่ยนผู้ชมเป็นลูกค้า การใช้ การโฆษณาแบบโปรแกรมเมติก จึงช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงผู้ชมที่ต้องการได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพสูงสุด

การใช้ Programmatic Advertising ในการตลาด

การโฆษณาแบบโปรแกรมเมติกเป็นเทคโนโลยีที่รวมการใช้งานอัลกอริธึมและระบบอัตโนมัติเข้ากับการซื้อขายพื้นที่โฆษณา เพื่อให้สามารถแสดงโฆษณาที่ตรงกับความสนใจและความต้องการของผู้ชมได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที สำหรับการตลาดแบบนี้มีหลักการทำงานดังนี้:

  1. อัตโนมัติและทันสมัย: การซื้อโฆษณาเป็นแบบอัตโนมัติผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยไม่ต้องผ่านการเจรจาต่อรองแบบดั้งเดิม ทำให้กระบวนการรวดเร็วและลดความผิดพลาด
  2. ใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ: โปรแกรมมาติกโฆษณาใช้ข้อมูลเชิงลึกจากผู้ใช้ ทั้งพฤติกรรมออนไลน์, ข้อมูลประชากรศาสตร์, และข้อมูลทางภูมิศาสตร์ เพื่อกำหนดเป้าหมายและปรับเปลี่ยนเนื้อหาโฆษณาให้ตรงกับผู้ชม
  3. ปรับแต่งโฆษณาโดยเฉพาะ: แคมเปญโฆษณาจะถูกปรับแต่งเนื้อหาและรูปแบบการนำเสนอตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เช่น การเลือกใช้ภาพ, วิดีโอ, หรือแบนเนอร์ ที่เหมาะสม
  4. การวิเคราะห์ผลลัพธ์และปรับปรุง: แพลตฟอร์มมีการวิเคราะห์ผลลัพธ์ของแคมเปญโฆษณาในเวลาจริง และมีการทดสอบ A/B เพื่อหาวิธีที่ดีที่สุดในการนำเสนอโฆษณา

การใช้การโฆษณาแบบโปรแกรมเมติก ในการตลาดช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงผู้ชมที่เหมาะสมอย่างมีประสิทธิภาพ ลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการจัดการโฆษณา และเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้ชมให้กลายเป็นลูกค้า การตลาดประเภทนี้ไม่เพียงแต่ทำให้โฆษณามีความเกี่ยวข้องกับผู้ชมมากขึ้น

เชิญชวนทุกคนที่สนใจเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดดิจิทัลของตนเองให้รู้จักกับ SABLE เซเบิล โซลูชัน Customer Data Platform และ Marketing Automation ชั้นนำที่จะช่วยให้การจัดการข้อมูลและการสร้างประสบการณ์ลูกค้าเป็นไปอย่างไม่มีที่ติ เยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมและเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่สำหรับธุรกิจของคุณวันนี้

บทความใกล้เคียง