การพัฒนาคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดด้วยการ วิเคราะห์จาก Salesforce
การรวบรวมและจัดการข้อมูลลูกค้าผ่าน Salesforce: กุญแจสู่คอนเทนต์ที่ตรงใจ
Salesforce ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ทั่วไป แต่ยังเป็นขุมทรัพย์ข้อมูลลูกค้าอันทรงคุณค่า ที่สามารถนำมาใช้ในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่โดนใจและตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ โดยการ วิเคราะห์จาก saleforce
วิธีการเก็บข้อมูลลูกค้า:
Salesforce เก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากหลากหลายช่องทาง ทั้งจากการปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับลูกค้า เช่น การกรอกแบบฟอร์มบนเว็บไซต์ การติดต่อผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย หรือการสนทนากับพนักงานขาย รวมถึงข้อมูลจากระบบอื่นๆ ที่เชื่อมต่อกับ Salesforce เช่น ระบบอีคอมเมิร์ซ หรือระบบการตลาด
ข้อมูลที่เก็บรวบรวมอาจรวมถึง:
- ข้อมูลส่วนบุคคล: ชื่อ ที่อยู่ อีเมล เบอร์โทรศัพท์ วันเกิด ฯลฯ
- ข้อมูลพฤติกรรม: ประวัติการซื้อสินค้าหรือบริการ การมีส่วนร่วมกับแคมเปญการตลาด การเปิดอ่านอีเมล การคลิกลิงก์ ฯลฯ
- ข้อมูลความสนใจ: สินค้าหรือบริการที่สนใจ หัวข้อที่สนใจติดตาม ช่องทางการสื่อสารที่ชอบ ฯลฯ
การจัดการข้อมูลใน Salesforce:
Salesforce ช่วยให้คุณสามารถจัดการข้อมูลลูกค้าได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ด้วยเครื่องมือและฟังก์ชันต่างๆ เช่น:
- การจัดเก็บข้อมูล: Salesforce จัดเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างปลอดภัยและเป็นระบบ ทำให้สามารถเข้าถึงและใช้งานข้อมูลได้ง่าย
- การแบ่งกลุ่มลูกค้า: Salesforce ช่วยให้คุณสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าตามเกณฑ์ต่างๆ เช่น ข้อมูลประชากร พฤติกรรม หรือความสนใจ เพื่อให้สามารถส่งคอนเทนต์ที่ตรงกับความต้องการของแต่ละกลุ่มได้
- การติดตามลูกค้า: Salesforce ช่วยให้คุณสามารถติดตามพฤติกรรมและความสนใจของลูกค้าแต่ละรายได้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถส่งคอนเทนต์ที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสมได้
- การวิเคราะห์ข้อมูล: Salesforce มีเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลที่ช่วยให้คุณสามารถทำความเข้าใจข้อมูลลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง และนำข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุงกลยุทธ์การสร้างคอนเทนต์ได้
การนำข้อมูลไปใช้ในการสร้างคอนเทนต์:
ข้อมูลลูกค้าที่เก็บรวบรวมและจัดการใน Salesforce สามารถนำไปใช้ในการสร้างคอนเทนต์ที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้หลายวิธี เช่น:
- การปรับแต่งคอนเทนต์: สร้างคอนเทนต์ที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละกลุ่มลูกค้าตามความสนใจและพฤติกรรมของ
- การส่งคอนเทนต์ส่วนบุคคล: ส่งคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับความสนใจของลูกค้าแต่ละรายโดยตรง
- การเลือกช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสม: ส่งคอนเทนต์ผ่านช่องทางที่ลูกค้าแต่ละกลุ่มชอบใช้
- การวัดผลและปรับปรุงคอนเทนต์: ติดตามผลตอบรับของคอนเทนต์และนำข้อมูลไปปรับปรุงคอนเทนต์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ด้วยเครื่องมือ Salesforce Analytics
เครื่องมือวิเคราะห์ของ Salesforce ช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมและแนวโน้มการใช้งานของผู้ใช้ได้อย่างลึกซึ้งอีกด้วย ข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาคอนเทนต์ให้ตรงใจและมีประสิทธิภาพสูงสุด การ วิเคราะห์จาก saleforce มีดังต่อไปนี้
การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ของ Salesforce เพื่อศึกษาพฤติกรรมและแนวโน้มการใช้งานของผู้ใช้ เพื่อปรับปรุงเนื้อหาให้เหมาะสม
- ติดตามการมีส่วนร่วม: ตรวจสอบว่าผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับคอนเทนต์อย่างไรบ้าง เช่น การเปิดอีเมล การคลิกลิงก์ หรือการดาวน์โหลดเอกสาร
- ระบุคอนเทนต์ยอดนิยม: ดูว่าคอนเทนต์ใดได้รับความสนใจมากที่สุด เพื่อให้คุณสามารถสร้างคอนเทนต์ที่คล้ายกันหรือต่อยอดจากเนื้อหาที่ได้รับความนิยมได้
- ทำความเข้าใจเส้นทางของลูกค้า: วิเคราะห์เส้นทางที่ลูกค้าใช้ในการโต้ตอบกับคอนเทนต์ ตั้งแต่การรับรู้ครั้งแรกไปจนถึงการตัดสินใจซื้อ เพื่อให้คุณสามารถปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าในแต่ละขั้นตอนได้
- แบ่งกลุ่มผู้ใช้: แบ่งกลุ่มผู้ใช้ตามพฤติกรรมและความสนใจ เพื่อให้คุณสามารถปรับแต่งคอนเทนต์ให้ตรงกับความต้องการของแต่ละกลุ่มได้อย่างแม่นยำ
- ทดสอบ A/B: ทดสอบรูปแบบคอนเทนต์ หัวเรื่อง หรือ Call-to-Action ที่แตกต่างกัน เพื่อดูว่ารูปแบบใดมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วม
ประโยชน์ของการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้
- ปรับปรุงคุณภาพของคอนเทนต์: สร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจผู้ใช้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและ Conversion Rate
- เพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ: กำหนดเป้าหมายแคมเปญได้อย่างแม่นยำและวัดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น: ปรับแต่งประสบการณ์ให้เหมาะกับความต้องการและความสนใจของลูกค้าแต่ละราย
- ตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล: ใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์การสร้างคอนเทนต์
การกำหนดกลยุทธ์คอนเทนต์ตามข้อมูล CRM: ใช้ Salesforce เพื่อเข้าใจและตอบสนองความต้องการของลูกค้า
ระบบ CRM (Customer Relationship Management) อย่าง Salesforce ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับจัดเก็บข้อมูลลูกค้า แต่ยังเป็นแหล่งข้อมูลเชิงลึกอันทรงคุณค่าที่สามารถนำมาใช้ในการพัฒนากลยุทธ์คอนเทนต์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดได้
ทำไมต้องใช้ข้อมูล CRM ในการวางแผนคอนเทนต์
- เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง: ข้อมูลใน CRM เช่น ประวัติการซื้อ พฤติกรรมการใช้งาน และข้อมูลส่วนบุคคล ช่วยให้คุณเข้าใจความต้องการ ความสนใจ และปัญหาของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างชัดเจน
- สร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจ: เมื่อคุณรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร คุณก็สามารถสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านั้นได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นการให้ข้อมูล แก้ปัญหา หรือสร้างแรงบันดาลใจ
- ปรับเปลี่ยนคอนเทนต์ตามแต่ละบุคคล: CRM ช่วยให้คุณสามารถส่งคอนเทนต์ที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละรายได้ (Personalized Content) ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการมีส่วนร่วมและสร้าง Conversion
- วัดผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง: ข้อมูลจาก CRM ช่วยให้คุณติดตามผลลัพธ์ของคอนเทนต์แต่ละชิ้นได้ ทำให้คุณสามารถปรับปรุงกลยุทธ์และสร้างคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในอนาคต
Salesforce ช่วยในการวางแผนคอนเทนต์ได้อย่างไร
- ระบุกลุ่มเป้าหมาย: Salesforce ช่วยให้คุณแบ่งกลุ่มลูกค้าตามข้อมูลต่างๆ เช่น อายุ เพศ รายได้ ความสนใจ และพฤติกรรมการซื้อ ทำให้คุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายสำหรับคอนเทนต์แต่ละชิ้นได้อย่างแม่นยำ
- ค้นหาหัวข้อที่น่าสนใจ: Salesforce สามารถติดตามหัวข้อที่ลูกค้าสนใจ หรือปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาใช้ในการสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์และดึงดูดความสนใจได้
- เลือกช่องทางที่เหมาะสม: Salesforce สามารถติดตามช่องทางที่ลูกค้าแต่ละกลุ่มใช้งานเป็นประจำ ช่วยให้คุณเลือกช่องทางในการเผยแพร่คอนเทนต์ได้อย่างเหมาะสม
- วัดผลและปรับปรุง: Salesforce สามารถติดตามผลลัพธ์ของคอนเทนต์แต่ละชิ้น เช่น จำนวนการเปิดอ่าน จำนวนการคลิก และ Conversion Rate ทำให้คุณสามารถประเมินประสิทธิภาพของคอนเทนต์และปรับปรุงกลยุทธ์ได้
ตัวอย่างการนำข้อมูล CRM มาใช้ในการวางแผนคอนเทนต์
- สร้างคอนเทนต์สำหรับลูกค้าใหม่: หากข้อมูล CRM บอกว่าลูกค้าใหม่มักมีคำถามเกี่ยวกับการใช้งานผลิตภัณฑ์ คุณก็สามารถสร้างคอนเทนต์ที่ให้คำแนะนำและเคล็ดลับในการใช้งาน
- ส่งอีเมลส่วนบุคคล: Salesforce ช่วยให้คุณส่งอีเมลที่มีเนื้อหาที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย เช่น แนะนำสินค้าที่อาจสนใจ หรือเสนอส่วนลดพิเศษ
- สร้างแคมเปญรีมาร์เก็ตติ้ง: หากลูกค้าทิ้งสินค้าไว้ในตะกร้าสินค้า Salesforce สามารถส่งอีเมลเตือนความจำหรือเสนอส่วนลดเพื่อกระตุ้นให้กลับมาซื้อสินค้า
การปรับแต่งคอนเทนต์ให้เป็นส่วนบุคคล (Personalization) ด้วย Salesforce
Salesforce ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ในการสร้างคอนเทนต์ที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคล (Personalized Content) เพื่อมอบประสบการณ์ที่โดดเด่นและตรงใจลูกค้าแต่ละรายได้อย่างแท้จริง
การสร้างคอนเทนต์ที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคลตามข้อมูลและประวัติการติดต่อของลูกค้าใน Salesforce
- ใช้ข้อมูลลูกค้า: Salesforce เก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าที่หลากหลาย เช่น ข้อมูลส่วนตัว พฤติกรรมการซื้อ ประวัติการติดต่อ และความสนใจ นำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการสร้างคอนเทนต์ที่ตรงกับความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าแต่ละราย
- แบ่งกลุ่มลูกค้า: ใช้เครื่องมือแบ่งกลุ่มลูกค้าของ Salesforce เพื่อแบ่งกลุ่มลูกค้าตามลักษณะต่างๆ เช่น ข้อมูลประชากร พฤติกรรม หรือความสนใจ จากนั้นสร้างคอนเทนต์ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละกลุ่ม
- ใช้ Dynamic Content: Salesforce ช่วยให้สามารถสร้าง Dynamic Content ซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามข้อมูลของผู้ชม เช่น ชื่อ ตำแหน่ง หรือความสนใจ ทำให้สามารถส่งมอบคอนเทนต์ที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคลได้อย่างง่ายดาย
- ส่งคอนเทนต์ที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสม: ใช้ข้อมูลการมีส่วนร่วมของลูกค้าและระบบ Automation ของ Salesforce เพื่อส่งคอนเทนต์ที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย เพิ่มโอกาสในการมีส่วนร่วมและ Conversion
- วัดผลและปรับปรุง: ติดตามประสิทธิภาพของคอนเทนต์ที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคล และนำข้อมูลไปปรับปรุงกลยุทธ์การสร้างคอนเทนต์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ตัวอย่าง:
- ส่งอีเมลต้อนรับที่มีชื่อของลูกค้าใหม่
- แนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้องกับประวัติการซื้อของลูกค้า
- ส่งข้อเสนอพิเศษในวันเกิดของลูกค้า
- ส่งคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับความสนใจของลูกค้า
การใช้ Automation ในการสร้างและจัดการคอนเทนต์
การนำเครื่องมืออัตโนมัติของ Salesforce มาช่วยในการผลิตและเผยแพร่คอนเทนต์อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกลยุทธ์คอนเทนต์ Salesforce ดังนี้
- สร้างคอนเทนต์ส่วนบุคคล: ใช้ข้อมูลลูกค้าจาก Salesforce เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่ปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละบุคคลโดยอัตโนมัติ เช่น อีเมลส่วนตัว ข้อเสนอพิเศษ หรือคำแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความสนใจของลูกค้า
- เผยแพร่คอนเทนต์อัตโนมัติ: กำหนดเวลาและเผยแพร่คอนเทนต์ในช่องทางต่างๆ ได้อย่างอัตโนมัติ เช่น โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ หรืออีเมล ช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรในการเผยแพร่คอนเทนต์ด้วยตนเอง
- จัดการกระบวนการทำงาน: สร้างและจัดการกระบวนการทำงานอัตโนมัติที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและเผยแพร่คอนเทนต์ เช่น การอนุมัติ การตรวจสอบ และการเผยแพร่ ช่วยให้ทีมงานทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
- ปรับปรุงประสิทธิภาพคอนเทนต์: ใช้ข้อมูลเชิงลึกจาก Salesforce เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของคอนเทนต์ เช่น การทดสอบ A/B การวิเคราะห์ประสิทธิภาพ และการปรับแต่งคอนเทนต์ให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
ตัวอย่างการใช้งาน Automation:
- ส่งอีเมลต้อนรับอัตโนมัติ: เมื่อมีลูกค้าใหม่ลงทะเบียน Salesforce สามารถส่งอีเมลต้อนรับส่วนบุคคลโดยอัตโนมัติ เพื่อสร้างความประทับใจแรกที่ดีและแนะนำผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เกี่ยวข้อง
- เผยแพร่โพสต์โซเชียลมีเดียตามกำหนดเวลา: กำหนดเวลาและเผยแพร่โพสต์โซเชียลมีเดียในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุดและเพิ่มการมีส่วนร่วม
- สร้างรายงานประสิทธิภาพคอนเทนต์อัตโนมัติ: Salesforce สามารถสร้างรายงานประสิทธิภาพคอนเทนต์อัตโนมัติ เพื่อให้คุณสามารถติดตามผลลัพธ์และปรับปรุงกลยุทธ์คอนเทนต์ได้อย่างต่อเนื่อง
ประโยชน์ของการใช้ Automation:
- ประหยัดเวลาและทรัพยากร: ลดความจำเป็นในการทำงานซ้ำๆ และช่วยให้ทีมงานมีเวลาไปโฟกัสกับงานที่สำคัญกว่า
- เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล: ช่วยให้สามารถสร้างและเผยแพร่คอนเทนต์ได้มากขึ้นในเวลาที่น้อยลง
- ปรับปรุงคุณภาพคอนเทนต์: ช่วยให้สามารถสร้างคอนเทนต์ส่วนบุคคลและปรับแต่งคอนเทนต์ให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น
- เพิ่มการมีส่วนร่วมและ Conversion: ช่วยให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นและกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมและ Conversion
กรณีศึกษาการพัฒนาคอนเทนต์ที่ประสบความสำเร็จด้วย Salesforce
ตัวอย่างและกรณีศึกษาขององค์กรที่ใช้ Salesforce ในการวิเคราะห์และพัฒนาคอนเทนต์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
Adidas:
- ปัญหา: Adidas ต้องการปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าและเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางดิจิทัล
- วิธีแก้ปัญหา: ใช้ Salesforce Marketing Cloud เพื่อรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากหลายช่องทาง เช่น เว็บไซต์ อีเมล และโซเชียลมีเดีย จากนั้นนำข้อมูลมาสร้างคอนเทนต์ส่วนบุคคล และส่งผ่านช่องทางที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย
- ผลลัพธ์: อัตราการเปิดอีเมลเพิ่มขึ้น 158% และยอดขายผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มขึ้น 50%
Unilever:
- ปัญหา: Unilever ต้องการสร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจผู้บริโภคและกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมมากขึ้น
- วิธีแก้ปัญหา: ใช้ Salesforce Social Studio เพื่อติดตามและวิเคราะห์การพูดถึงแบรนด์และผลิตภัณฑ์บนโซเชียลมีเดีย จากนั้นนำข้อมูลมาปรับปรุงกลยุทธ์การสร้างคอนเทนต์และการตอบโต้กับผู้บริโภค
- ผลลัพธ์: การมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้น 30% และสามารถระบุอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมในการร่วมงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Coca-Cola:
- ปัญหา: Coca-Cola ต้องการสร้างแคมเปญการตลาดที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภคในระดับโลก
- วิธีแก้ปัญหา: ใช้ Salesforce Marketing Cloud เพื่อสร้างแคมเปญ “Share a Coke” ที่ให้ผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อขวดโค้กที่มีชื่อของตนเองได้ จากนั้นนำข้อมูลการสั่งซื้อมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงแคมเปญและสร้างคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้อง
- ผลลัพธ์: แคมเปญ “Share a Coke” ประสบความสำเร็จอย่างมาก มียอดขายเพิ่มขึ้น 2% ทั่วโลก และสร้างการพูดถึงแบรนด์บนโซเชียลมีเดียอย่างล้นหลาม
Philips:
- ปัญหา: Philips ต้องการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้นตลอดเส้นทางการซื้อ
- วิธีแก้ปัญหา: ใช้ Salesforce Service Cloud เพื่อรวมข้อมูลลูกค้าจากหลายช่องทาง เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และศูนย์บริการลูกค้า จากนั้นนำข้อมูลมาสร้างฐานความรู้และปรับปรุงการตอบคำถามและแก้ปัญหาให้ลูกค้า
- ผลลัพธ์: ความพึงพอใจของลูกค้าเพิ่มขึ้น 20% และสามารถลดต้นทุนในการให้บริการลูกค้าลงได้
การปรับปรุงและอัปเดตคอนเทนต์อย่างต่อเนื่องด้วยข้อมูล Salesforce
การสร้างคอนเทนต์ที่ทรงพลังไม่ใช่แค่การสร้างครั้งเดียวแล้วจบ แต่ต้องมีการปรับปรุงและอัปเดตอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันกับความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การ วิเคราะห์จาก saleforce สามารถเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามข้อมูลล่าสุดและนำมาใช้ในการปรับปรุงคอนเทนต์ให้ทันสมัยและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีการใช้ข้อมูลล่าสุดจาก Salesforce ในการปรับปรุงและอัปเดตคอนเทนต์ให้ทันสมัยและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด
- ติดตามการเปลี่ยนแปลงของลูกค้า: Salesforce เก็บข้อมูลลูกค้าที่หลากหลาย เช่น ข้อมูลส่วนตัว พฤติกรรมการซื้อ และการมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์ การติดตามการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจถึงความต้องการและความสนใจของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป และนำข้อมูลเหล่านี้มาปรับปรุงคอนเทนต์ให้ตรงกับความต้องการใหม่ๆ
- วิเคราะห์ประสิทธิภาพของคอนเทนต์: Salesforce ช่วยติดตามประสิทธิภาพของคอนเทนต์แต่ละชิ้น เช่น จำนวนการดู การแชร์ และ Conversion Rate การวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยระบุคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมและคอนเทนต์ที่อาจต้องปรับปรุงหรือแทนที่
- ระบุเทรนด์และหัวข้อใหม่ๆ: Salesforce สามารถช่วยระบุเทรนด์และหัวข้อใหม่ๆ ที่กำลังมาแรงในอุตสาหกรรม การสร้างคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับเทรนด์เหล่านี้จะช่วยดึงดูดความสนใจของลูกค้าและแสดงให้เห็นว่าธุรกิจมีความทันสมัย
- ปรับเปลี่ยนคอนเทนต์ตามข้อมูลเชิงลึก: เมื่อได้ข้อมูลเชิงลึกจาก Salesforce แล้ว ให้ใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการปรับเปลี่ยนคอนเทนต์เดิมหรือสร้างคอนเทนต์ใหม่ที่ตอบสนองต่อความต้องการและความสนใจของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
- กำหนดตารางการอัปเดตคอนเทนต์: การอัปเดตคอนเทนต์เป็นประจำจะช่วยให้คอนเทนต์มีความสดใหม่และน่าสนใจอยู่เสมอ กำหนดตารางการอัปเดตคอนเทนต์ที่เหมาะสมกับธุรกิจและใช้ Salesforce เพื่อติดตามและเตือนความจำ
- ใช้ประโยชน์จาก AI และ Automation: Salesforce มีเครื่องมือ AI และ Automation ที่สามารถช่วยในการปรับปรุงและอัปเดตคอนเทนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การสร้างคอนเทนต์ส่วนบุคคล การส่งคอนเทนต์อัตโนมัติตามเงื่อนไขที่กำหนด และการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้คำแนะนำในการปรับปรุงคอนเทนต์
การฝึกอบรมทีมงานในการใช้ Salesforce เพื่อพัฒนาคอนเทนต์
การจัดอบรมและพัฒนาทักษะของทีมงานถือเป็นกุญแจสำคัญในการดึงศักยภาพของ Salesforce ออกมาใช้อย่างเต็มที่ในการพัฒนาคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด การฝึกอบรมควรครอบคลุมทั้งความเข้าใจในเครื่องมือและฟีเจอร์ต่างๆ ของ Salesforce รวมถึงวิธีการนำข้อมูลและการวิเคราะห์มาใช้ในการวางแผนและสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย
หัวข้อสำคัญที่ควรครอบคลุมในการฝึกอบรม:
- ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ Salesforce: ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างข้อมูล, การรายงาน, และแดชบอร์ดต่างๆ เพื่อให้ทีมงานสามารถเข้าถึงและตีความข้อมูลที่สำคัญได้อย่างถูกต้อง
- การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า: เรียนรู้วิธีการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ของ Salesforce เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรม, ความต้องการ, และความสนใจของลูกค้า เพื่อนำมาปรับใช้ในการสร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจและมีประสิทธิภาพ
- การสร้างคอนเทนต์ส่วนบุคคล: ฝึกฝนการใช้ข้อมูลลูกค้าเพื่อสร้างคอนเทนต์ที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล หรือกลุ่มลูกค้าที่มีลักษณะคล้ายกัน เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างปฏิสัมพันธ์และการตอบสนองที่ดี
- การวัดผลและปรับปรุงคอนเทนต์: ทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวชี้วัดประสิทธิภาพของคอนเทนต์ (KPIs) และวิธีการใช้ข้อมูลจาก Salesforce เพื่อติดตาม, ประเมินผล, และปรับปรุงคอนเทนต์อย่างต่อเนื่อง
- การใช้เครื่องมือ AI และ Automation: เรียนรู้วิธีการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI และ Automation ใน Salesforce เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้าง, จัดการ, และเผยแพร่คอนเทนต์
นอกจากการฝึกอบรมในห้องเรียนหรือรูปแบบออนไลน์แล้ว การให้ทีมงานได้มีโอกาสฝึกปฏิบัติจริงกับข้อมูลและเครื่องมือต่างๆ ของ Salesforce ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสนับสนุนและให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้และแบ่งปันความรู้ภายในทีม ก็จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับทีมงานในการใช้ Salesforce เพื่อพัฒนาคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดได้อย่างต่อเนื่อง