การเลือกข้อมูลที่เหมาะสมสำหรับการสร้าง Data Insight Dashboard: เคล็ดลับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกด้วย Customer Data Platform (CDP) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจทางธุรกิจ
การสร้าง Data Insight Dashboard ที่มีประสิทธิภาพ เริ่มต้นจากการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน ว่าต้องการใช้ Dashboard นี้เพื่ออะไร Dashboard เปรียบเสมือนหน้าปัดรถยนต์ ที่แสดงข้อมูลสำคัญต่างๆ เพื่อให้ผู้ขับขี่ตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และปลอดภัย ดังนั้น การกำหนดเป้าหมายของ Dashboard จึงเป็นเหมือนการกำหนดจุดหมายปลายทาง ที่จะช่วยให้เราเลือกข้อมูลที่เหมาะสม และนำทางธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ
ตัวอย่างวัตถุประสงค์ของ Dashboard:
การติดตามยอดขาย: ต้องการทราบยอดขายรวม ยอดขายแยกตามสินค้า/บริการ ช่องทางการขาย ภูมิภาค ช่วงเวลา เพื่อวิเคราะห์แนวโน้ม และประเมินผล
การวิเคราะห์ประสิทธิภาพการตลาด: ต้องการประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด ช่องทางการตลาด และงบประมาณ
การปรับปรุงการดำเนินงาน: ต้องการติดตามประสิทธิภาพการทำงานของทีม กระบวนการทำงาน และทรัพยากรต่างๆ เพื่อระบุปัญหา และหาแนวทางปรับปรุง
การวัดความพึงพอใจของลูกค้า: ต้องการทราบระดับความพึงพอใจของลูกค้า ความคิดเห็น และข้อเสนอแนะ เพื่อนำไปปรับปรุงสินค้า/บริการ
เคล็ดลับในการกำหนดเป้าหมาย:
- เริ่มจากคำถาม: ถามตัวเองว่า “ต้องการรู้อะไร?” “ต้องการใช้ข้อมูลนี้เพื่ออะไร?” “จะนำข้อมูลไปใช้ตัดสินใจอย่างไร?”
- กำหนด KPI ที่ชัดเจน: กำหนดตัวชี้วัด (KPI) ที่สอดคล้องกับเป้าหมาย เพื่อใช้วัดผล และติดตามความคืบหน้า
- เจาะจงและเฉพาะเจาะจง: ยิ่งกำหนดเป้าหมายได้เจาะจงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเลือกข้อมูลได้ตรงจุด และออกแบบ Dashboard ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น
- พิจารณาผู้ใช้งาน: Dashboard ควรออกแบบให้เหมาะสมกับผู้ใช้งาน เช่น ผู้บริหาร นักการตลาด หรือฝ่ายปฏิบัติการ โดยเลือกแสดงข้อมูลที่จำเป็น และเข้าใจง่าย
เลือก Key Performance Indicators (KPIs) ที่สำคัญ
การเลือก KPIs ที่เหมาะสมถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้าง Data Insight Dashboard ที่มีประสิทธิภาพ เพราะ KPIs คือตัวชี้วัดที่จะบอกเราว่าธุรกิจกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ และช่วยให้เราตัดสินใจเชิงธุรกิจได้อย่างชาญฉลาด
หลักการเลือก KPIs ที่สำคัญ:
- ความเกี่ยวข้อง: KPIs ต้องมีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ และตอบคำถามสำคัญที่ธุรกิจต้องการทราบ เช่น หากต้องการเพิ่มยอดขาย KPIs ที่ควรเลือกอาจเป็น ยอดขายรวม จำนวนลูกค้าใหม่ หรืออัตราการแปลงลูกค้า
- ความจำเป็น: เลือก KPIs ที่จำเป็นและแสดงภาพรวมของธุรกิจได้อย่างแท้จริง ไม่ควรเลือก KPIs มากเกินไปจนทำให้ Dashboard ดูรก และยากต่อการวิเคราะห์
- การวัดผลได้: KPIs ต้องสามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น ยอดขาย จำนวนลูกค้า หรืออัตราการเติบโต
- ความสัมพันธ์กับเป้าหมาย: KPIs ควรสอดคล้องกับเป้าหมายของ Dashboard ที่ต้องการสร้าง เช่น หากต้องการ Dashboard เพื่อติดตามผลการดำเนินงานด้านการตลาด KPIs ก็ควรเป็นตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการตลาด เช่น จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ อัตราการคลิกโฆษณา หรือต้นทุนต่อการได้มาซึ่งลูกค้า (CPA)
ตัวอย่าง KPIs ที่สำคัญ:
- ยอดขายรวมรายเดือน: แสดงให้เห็นถึงรายได้รวมของธุรกิจในแต่ละเดือน
- อัตราการแปลงลูกค้า (Conversion Rate): บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของช่องทางการขาย หรือแคมเปญการตลาด ในการเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้า
- ค่าเฉลี่ยการสั่งซื้อ (Average Order Value): แสดงมูลค่าเฉลี่ยของการสั่งซื้อแต่ละครั้ง ซึ่งสามารถใช้ประเมินประสิทธิภาพของกลยุทธ์การขาย เช่น การ Upselling หรือ Cross-selling
- อัตราการรักษาลูกค้า (Customer Retention Rate): บ่งบอกถึงความภักดีของลูกค้า และความสามารถในการรักษาลูกค้าเดิม
- ต้นทุนต่อการได้มาซึ่งลูกค้า (Customer Acquisition Cost – CAC): แสดงต้นทุนที่ใช้ในการได้ลูกค้าใหม่แต่ละราย
- คะแนนความพึงพอใจของลูกค้า (Customer Satisfaction Score – CSAT): วัดระดับความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อสินค้าหรือบริการ
เคล็ดลับ:
- เริ่มต้นจากเป้าหมาย: ก่อนเลือก KPIs ควรระบุเป้าหมายของ Dashboard ให้ชัดเจนก่อนว่าต้องการติดตาม วัดผล หรือวิเคราะห์อะไร
- ใช้ CDP ให้เป็นประโยชน์: CDP สามารถช่วยในการรวบรวม จัดเก็บ และวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อให้ได้ KPIs ที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพ
- ทดสอบและปรับปรุง: หลังจากสร้าง Dashboard แล้ว ควรทดสอบและปรับปรุง KPIs อยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่า Dashboard ยังคงตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจ
โฟกัสที่ข้อมูลที่สามารถลงมือทำได้ (Actionable Data)
การสร้าง Data Insight Dashboard ที่มีประสิทธิภาพ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณข้อมูล แต่ขึ้นอยู่กับคุณภาพและความสามารถในการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้จริง ดังนั้น การเลือก “ข้อมูลที่สามารถลงมือทำได้” หรือ Actionable Data จึงเป็นหัวใจสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกด้วย CDP เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจทางธุรกิจ
ข้อมูลที่สามารถลงมือทำได้ คืออะไร?
คือ ข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ ตัดสินใจ หรือ ดำเนินการ บางอย่างได้ทันที ไม่ใช่แค่ข้อมูลที่ใช้อธิบายสถานการณ์ในอดีต แต่ต้องเป็นข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถ แก้ปัญหา พัฒนา หรือ สร้างโอกาสใหม่ๆ ได้
ตัวอย่างข้อมูลที่สามารถลงมือทำได้:
- ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า: เช่น สินค้าที่ลูกค้าสนใจ ประวัติการซื้อ ช่องทางการติดต่อที่ลูกค้าชื่นชอบ ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปใช้ปรับปรุงแคมเปญการตลาด ออกแบบโปรโมชั่น หรือพัฒนาประสบการณ์ลูกค้าให้ตรงใจมากขึ้น
- ข้อมูลการใช้งานระบบ: เช่น หน้าเว็บไซต์ที่ลูกค้าเข้าชมบ่อยที่สุด จุดที่ลูกค้ามักจะออกจากเว็บไซต์ อัตราการ конверсия ข้อมูลเหล่านี้ช่วยระบุปัญหาที่ต้องแก้ไข เช่น ปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ เพิ่มประสิทธิภาพ หรือออกแบบ UX/UI ให้ใช้งานง่ายขึ้น
- ข้อมูลการตอบสนองต่อแคมเปญ: เช่น อัตราการเปิดอีเมล อัตราการคลิกลิงก์ จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม ข้อมูลเหล่านี้ช่วยวัดผล ประเมิน และปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ข้อมูลการขาย: เช่น ยอดขาย สินค้าขายดี ช่องทางการขาย ข้อมูลเหล่านี้ช่วยในการวางแผนการขาย จัดการสต็อกสินค้า และกำหนดกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม
เคล็ดลับในการเลือก Actionable Data:
- กำหนดวัตถุประสงค์: ก่อนอื่นต้องรู้ว่าต้องการใช้ Dashboard เพื่ออะไร ต้องการแก้ปัญหาอะไร หรือต้องการพัฒนาอะไร เพื่อที่จะเลือกข้อมูลที่เกี่ยวข้องและตอบโจทย์วัตถุประสงค์ได้
- มองหา Pattern: วิเคราะห์ข้อมูลจาก CDP เพื่อมองหา Pattern หรือแนวโน้มที่น่าสนใจ เช่น พฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำๆ หรือโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
- ตั้งคำถาม: ตั้งคำถามกับข้อมูลที่เห็น เช่น ทำไมยอดขายถึงลดลง? ลูกค้า churn เพราะอะไร? อะไรคือสาเหตุของปัญหา? คำถามเหล่านี้จะช่วยให้เจาะลึกถึงข้อมูลเชิงลึก และหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา
- เลือก KPI ที่สำคัญ: กำหนด Key Performance Indicator (KPI) ที่สำคัญ และเลือกแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ KPI เหล่านั้นบน Dashboard เพื่อติดตาม วัดผล และประเมินความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เลือกข้อมูลที่มีความถูกต้องและน่าเชื่อถือ (Reliable Data)
การสร้าง Data Insight Dashboard ที่มีประสิทธิภาพ ต้องเริ่มต้นจากการเลือกใช้ข้อมูลที่มีความถูกต้องและน่าเชื่อถือ (Reliable Data) เพราะข้อมูลที่คลาดเคลื่อนหรือไม่สมบูรณ์ อาจนำไปสู่การวิเคราะห์ที่ผิดพลาด และการตัดสินใจที่ไม่เหมาะสมได้ ดังนั้น การตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
แหล่งที่มาของข้อมูลที่น่าเชื่อถือ:
- ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning): ระบบ ERP เป็นระบบที่รวบรวมข้อมูลสำคัญขององค์กร เช่น ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลการผลิต ข้อมูลสินค้าคงคลัง ฯลฯ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มักจะมีความถูกต้องสูง เนื่องจากเป็นข้อมูลที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจจริง
- ระบบ CRM (Customer Relationship Management): ระบบ CRM เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า เช่น ประวัติการซื้อขาย พฤติกรรมการใช้งาน ข้อมูลติดต่อ ฯลฯ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ในการวิเคราะห์ลูกค้า และวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด
- Analytics Tool: เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เช่น Google Analytics Adobe Analytics ฯลฯ สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้ใช้งาน เช่น จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ อัตราการคลิก อัตราการ конверсия ฯลฯ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ในการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ และช่องทางการตลาดออนไลน์
เคล็ดลับในการตรวจสอบคุณภาพข้อมูล:
- ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล: ตรวจสอบว่าข้อมูลที่ได้มามีความถูกต้อง ครบถ้วน และสอดคล้องกันหรือไม่ เช่น ตรวจสอบความถูกต้องของชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ของลูกค้า หรือตรวจสอบความถูกต้องของยอดขาย รายได้ ค่าใช้จ่าย ในระบบ ERP
- ตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูล: ตรวจสอบว่าข้อมูลที่ได้มามีความสมบูรณ์ ครอบคลุม และเพียงพอต่อการวิเคราะห์หรือไม่ เช่น ตรวจสอบว่ามีข้อมูลของลูกค้าครบทุกกลุ่ม หรือมีข้อมูลการขายครบทุกช่องทางหรือไม่
- ตรวจสอบความสอดคล้องของข้อมูล: ตรวจสอบว่าข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งต่างๆ มีความสอดคล้องกันหรือไม่ เช่น ตรวจสอบว่ายอดขายในระบบ ERP ตรงกับยอดขายในระบบ CRM หรือไม่
ประโยชน์ของการใช้ข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือ:
- ช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลมีความแม่นยำ: ข้อมูลที่ถูกต้อง จะนำไปสู่การวิเคราะห์ที่แม่นยำ และผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือ
- ช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ: ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ และมีประสิทธิภาพ
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ Data Insight Dashboard: Dashboard ที่สร้างจากข้อมูลที่ถูกต้อง จะมีความน่าเชื่อถือ และเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน
จัดลำดับความสำคัญของข้อมูล (Prioritize Data)
การสร้าง Data Insight Dashboard ที่มีประสิทธิภาพนั้น ไม่ใช่แค่การนำข้อมูลทั้งหมดที่มีมาแสดงผล แต่เป็นการคัดเลือก “ข้อมูลที่ใช่” เพื่อให้ได้ “ข้อมูลเชิงลึก” (Data Insight) ที่นำไปสู่การตัดสินใจทางธุรกิจที่ดีขึ้น ดังนั้นการจัดลำดับความสำคัญของข้อมูล จึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
หลักการสำคัญในการจัดลำดับความสำคัญของข้อมูล:
- เชื่อมโยงกับเป้าหมายธุรกิจ: ข้อมูลที่เลือกใช้ควรมีความเกี่ยวข้องและส่งผลกระทบต่อเป้าหมายทางธุรกิจที่สำคัญ เช่น หากเป้าหมายคือการเพิ่มยอดขาย ข้อมูลที่ควรให้ความสำคัญ อาจเป็นข้อมูลพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า สินค้าที่ได้รับความนิยม หรือช่องทางการขายที่สร้างรายได้สูงสุด
- เน้นข้อมูลที่มีผลกระทบสูง: เลือกข้อมูลที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง เช่น ข้อมูลที่ช่วยระบุปัญหา โอกาส หรือแนวโน้ม ที่สำคัญต่อธุรกิจ
- หลีกเลี่ยงข้อมูลที่ไม่จำเป็น: การใส่ข้อมูลมากเกินไป อาจทำให้ Dashboard ดูรก ซับซ้อน และยากต่อการวิเคราะห์ ควรเลือกเฉพาะข้อมูลที่จำเป็น และสื่อสารข้อมูลเชิงลึกได้อย่างชัดเจน
- พิจารณาความถี่ในการใช้งาน: ข้อมูลที่ถูกนำมาใช้บ่อย ควรอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ง่าย ส่วนข้อมูลที่ใช้น้อย อาจจัดเก็บไว้ในส่วนรายละเอียดเพิ่มเติม
ตัวอย่างการจัดลำดับความสำคัญของข้อมูล:
- ธุรกิจ E-commerce: อาจให้ความสำคัญกับข้อมูล Conversion Rate, Average Order Value, Customer Acquisition Cost, และ Customer Lifetime Value มากกว่าข้อมูลจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Website Traffic) เพียงอย่างเดียว
- ธุรกิจร้านอาหาร: อาจให้ความสำคัญกับข้อมูลยอดขายแต่ละเมนู ช่วงเวลาที่ลูกค้าหนาแน่น และคะแนนความพึงพอใจของลูกค้า มากกว่าข้อมูลจำนวนพนักงานที่เข้าเวร ในแต่ละวัน
ประโยชน์ของการจัดลำดับความสำคัญของข้อมูล:
- Dashboard ที่กระชับ เข้าใจง่าย และใช้งานได้จริง: ช่วยให้ผู้ใช้งาน เข้าถึงข้อมูลเชิงลึก และตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
- ลดเวลา และทรัพยากร ในการวิเคราะห์ข้อมูล: เมื่อมีข้อมูลที่สำคัญ และจำเป็น ครบถ้วน ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลา ค้นหา และประมวลผลข้อมูล จากแหล่งอื่นๆ เพิ่มเติม
- เพิ่มโอกาสในการบรรลุเป้าหมายธุรกิจ: การมุ่งเน้นที่ข้อมูล ที่ส่งผลต่อเป้าหมาย โดยตรง ช่วยให้ธุรกิจ สามารถ กำหนดกลยุทธ์ และตัดสินใจ ได้อย่างแม่นยำ
เลือกข้อมูลแบบเรียลไทม์และข้อมูลย้อนหลัง
การสร้าง Data Insight Dashboard ที่มีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยการผสมผสานข้อมูลแบบเรียลไทม์ (Real-time Data) และข้อมูลย้อนหลัง (Historical Data) อย่างลงตัว เพื่อให้สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน พร้อมทั้งมองเห็นแนวโน้มในอนาคตได้อย่างชัดเจน
ข้อมูลแบบเรียลไทม์:
- ความหมาย: ข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมและประมวลผลในทันที แสดงผลแบบสดๆ โดยมีความล่าช้า (Latency) น้อยที่สุด
- ประโยชน์:
- ติดตามสถานการณ์ปัจจุบันได้ เช่น ยอดขาย ณ ขณะนั้น จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ หรือพฤติกรรมลูกค้าบนแอปพลิเคชัน
- ตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การแจ้งเตือนเมื่อมีลูกค้าทำรายการสั่งซื้อ หรือเมื่อเกิดปัญหาทางเทคนิค
- เหมาะสำหรับการตัดสินใจที่ต้องการความรวดเร็ว เช่น การปรับเปลี่ยนราคาสินค้า หรือการจัดการสต็อกสินค้า
ข้อมูลย้อนหลัง:
- ความหมาย: ข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมไว้ในอดีต อาจเป็นข้อมูลรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรือรายปี
- ประโยชน์:
- วิเคราะห์แนวโน้ม รูปแบบ และความสัมพันธ์ของข้อมูล เช่น ยอดขายเฉลี่ยในแต่ละเดือน สินค้าขายดีในแต่ละช่วงเวลา หรือปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมลูกค้า
- เปรียบเทียบผลการดำเนินงาน เช่น เปรียบเทียบยอดขายปีนี้กับปีที่แล้ว หรือเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดต่างๆ
- เหมาะสำหรับการวางแผนระยะยาว และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
ตัวอย่างการใช้งาน:
- Dashboard แสดงยอดขาย: แสดงยอดขายแบบเรียลไทม์ พร้อมกราฟแสดงยอดขายย้อนหลัง เพื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และวิเคราะห์แนวโน้มการเติบโต
- Dashboard ติดตามแคมเปญการตลาด: แสดงจำนวนคลิก จำนวนการเข้าชม และ Conversion Rate แบบเรียลไทม์ พร้อมข้อมูลย้อนหลังเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแคมเปญต่างๆ
- Dashboard วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า: แสดงพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันแบบเรียลไทม์ พร้อมข้อมูลประวัติการซื้อขาย และข้อมูลจากช่องทางอื่นๆ เพื่อสร้าง Customer Segmentation และ Personalized Marketing
เคล็ดลับ:
- กำหนดวัตถุประสงค์ของ Dashboard ให้ชัดเจน เพื่อเลือกประเภทของข้อมูลที่เหมาะสม
- เลือกช่วงเวลาของข้อมูลย้อนหลังให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เช่น หากต้องการวิเคราะห์แนวโน้มรายเดือน ควรมีข้อมูลย้อนหลังอย่างน้อย 1 ปี
- ใช้ Visualization ที่เหมาะสม เช่น กราฟเส้น แผนภูมิแท่ง หรือแผนที่ความร้อน เพื่อแสดงข้อมูลให้เข้าใจง่าย
- อัปเดตข้อมูล Dashboard อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้องและเป็นปัจจุบัน
เลือกข้อมูลที่สื่อความหมายด้วย Visualization ได้ดี
การสร้าง Data Insight Dashboard ที่มีประสิทธิภาพนั้น ข้อมูลที่เลือกใช้ถือเป็นหัวใจสำคัญ ไม่ใช่แค่การนำข้อมูลมาแสดงผล แต่ต้องเลือกข้อมูลที่สามารถสื่อสาร “Insight” หรือ ข้อมูลเชิงลึกที่ซ่อนอยู่ ออกมาได้อย่างชัดเจน ซึ่ง Visualization หรือ การแสดงผลด้วยภาพ มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เข้าใจข้อมูลเหล่านั้นได้ง่ายและรวดเร็ว
หลักการเลือกข้อมูลที่เหมาะสมสำหรับ Visualization:
เลือกข้อมูลที่ตอบโจทย์ธุรกิจ: เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่า Dashboard นี้สร้างขึ้นเพื่ออะไร? ต้องการแก้ปัญหาอะไร? ต้องการติดตามตัวชี้วัดใด? เช่น หากต้องการเพิ่มยอดขาย ข้อมูลที่เลือกใช้ควรเป็นยอดขาย จำนวนลูกค้า อัตราการเติบโต เป็นต้น
เลือกข้อมูลที่วัดผลได้: ข้อมูลที่เลือกใช้ควรเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Data) ที่สามารถวัดผลได้อย่างชัดเจน เช่น ยอดขาย จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ อัตราการคลิกโฆษณา เป็นต้น
เลือกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกัน: ข้อมูลที่นำมาแสดงใน Dashboard เดียวกันควรมีความเกี่ยวข้องกัน เพื่อให้เห็นภาพรวมและความสัมพันธ์ของข้อมูลได้ง่าย เช่น ยอดขายสินค้าแต่ละประเภท ยอดขายในแต่ละช่องทาง หรือยอดขายในแต่ละภูมิภาค
เลือกข้อมูลที่แสดงผลเป็นภาพได้: ข้อมูลที่เลือกใช้ควรเป็นข้อมูลที่สามารถนำเสนอผ่านกราฟหรือแผนภูมิได้อย่างเข้าใจง่าย เช่น
- กราฟแท่ง (Bar Chart): เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบข้อมูล เช่น ยอดขายสินค้าแต่ละประเภท ยอดขายในแต่ละเดือน
- กราฟเส้น (Line Chart): เหมาะสำหรับการแสดงแนวโน้มของข้อมูล เช่น ยอดขายรายเดือนในช่วงเวลาหนึ่งปี
- แผนภูมิวงกลม (Pie Chart): เหมาะสำหรับการแสดงสัดส่วนของข้อมูล เช่น สัดส่วนยอดขายของสินค้าแต่ละประเภท
- แผนที่ความร้อน (Heatmap): เหมาะสำหรับการแสดงความหนาแน่นของข้อมูล เช่น พื้นที่ที่มีลูกค้าหนาแน่น สินค้าที่ได้รับความนิยมสูง
- แผนที่ (Map): เหมาะสำหรับแสดงข้อมูลเชิงพื้นที่ เช่น การกระจายตัวของลูกค้า สาขาของร้านค้า
- Scatter Plot: เหมาะสำหรับการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสองตัว เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างรายได้และอายุของลูกค้า
ตัวอย่าง:
- หากต้องการวิเคราะห์ยอดขาย สามารถใช้กราฟแท่งเปรียบเทียบยอดขายสินค้าแต่ละประเภท หรือกราฟเส้นแสดงแนวโน้มยอดขายรายเดือน
- หากต้องการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า สามารถใช้แผนที่ความร้อนแสดงพื้นที่ที่มีลูกค้าหนาแน่น หรือแผนภูมิวงกลมแสดงสัดส่วนลูกค้าในแต่ละช่วงอายุ
- หากต้องการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด สามารถใช้กราฟแท่งเปรียบเทียบอัตราการคลิกโฆษณาในแต่ละช่องทาง