การตลาดด้วย เทคโนโลยี Voice Search

การตลาดด้วยเทคโนโลยี Voice Search

การตลาดด้วย เทคโนโลยี Voice Search

การค้นหาด้วยเสียงหรือ เทคโนโลยี Voice Search ให้ผู้ใช้ส่งคำสั่งหรือคำถามในรูปแบบของเสียงไปยังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้โดยตรง ซึ่งอุปกรณ์จะวิเคราะห์และประมวลผลเพื่อให้ผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกลับมา ตัวอย่างเช่น การค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต  การเรียกดูสภาพอากาศ  หรือแม้แต่การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ทำได้ง่ายและรวดเร็วผ่านเสียงพูด การเข้าใจลึกซึ้งถึงเทคโนโลยีนี้และการประยุกต์ใช้งานที่ถูกต้องสามารถช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ทำความเข้าใจกับ Voice Search และความแตกต่างจากการค้นหาด้วยการพิมพ์

Voice Search ใช้เทคโนโลยีรู้จำเสียง (Voice Recognition Technology) เพื่อแปลงเสียงที่ได้รับจากผู้ใช้เป็นข้อความหรือคำสั่งที่เครื่องสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามได้ ตัวอย่างของเทคโนโลยีนี้ ได้แก่ Siri ของ Apple, Google Assistant ของ Google, และ Alexa ของ Amazon เทคโนโลยีดังกล่าวช่วยให้การค้นหาข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องพิมพ์คำค้นหาเหมือนในอดีต

ความแตกต่างจากการค้นหาด้วยการพิมพ์

การค้นหาด้วยเสียงแตกต่างจากการค้นหาด้วยการพิมพ์หลายประการ:

  • ความเร็วและความสะดวก: การพูดเร็วกว่าการพิมพ์, ทำให้การค้นหาข้อมูลด้วยเสียงเป็นทางเลือกที่รวดเร็วและสะดวกสำหรับผู้ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ
  • การใช้งานที่เป็นธรรมชาติ: การพูดเป็นวิธีการสื่อสารที่เป็นธรรมชาติสำหรับมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าการใช้ Voice Search อาจไม่ต้องการการเรียนรู้หรือการปรับตัวมากนัก
  • ความแม่นยำในการรู้จำเสียง: ด้วยการพัฒนาของ AI และเทคโนโลยี Machine Learning ความแม่นยำในการรู้จำเสียงได้ปรับปรุงขึ้นอย่างมาก ลดปัญหาการเข้าใจผิดจากเสียงพูด

ประโยชน์ของ Voice Search ต่อผู้ใช้และธุรกิจ

ประโยชน์ต่อผู้ใช้

  • ความสะดวกสบาย: ผู้ใช้สามารถทำการค้นหาหรือสั่งการต่างๆ ผ่านเสียงได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้มือ, ซึ่งเป็นข้อดีสำหรับผู้ที่ต้องการความรวดเร็วหรือในขณะที่มือไม่ว่าง
  • การสั่งซื้อสินค้าและบริการ: สามารถใช้ Voice Search ในการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการได้ง่ายดาย, โดยเฉพาะผ่านอุปกรณ์ที่รองรับเช่น Smart Speakers

ประโยชน์ต่อธุรกิจ

  • เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น: การใช้ Voice Search ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ใช้เทคโนโลยีนี้ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องการความรวดเร็วและความสะดวกสบาย
  • การปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า: ด้วยการใช้ Voice Search ธุรกิจสามารถปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าโดยการให้บริการที่เร็วขึ้นและมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีขึ้น
  • การทำการตลาดที่เป็นเป้าหมาย: การวิเคราะห์คำสั่งเสียงและคำถามของผู้ใช้ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าได้ดีขึ้น ทำให้สามารถทำการตลาดได้เฉพาะเจาะจงและมีประสิทธิภาพ

การตลาดด้วยเทคโนโลยี Voice Search ไม่เพียงแต่เปิดโอกาสใหม่ๆ สำหรับการสื่อสารกับลูกค้าเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถให้บริการที่ดีขึ้นผ่านการเข้าใจและการใช้งานข้อมูลที่ได้จากผู้ใช้ได้อย่างเต็มที่ ในยุคสมัยที่ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญเทคโนโลยีเหล่านี้จึงมีบทบาทสำคัญไม่น้อยในการกำหนดทิศทางและความสำเร็จของธุรกิจในอนาคต

 การพัฒนาเนื้อหาสำหรับ Voice Search

การตลาดโดยใช้เทคโนโลยี Voice Search กำลังเป็นที่นิยมและแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการใช้งานที่ง่ายและสะดวกสบายผ่านอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ เช่น สมาร์ทโฟนและลำโพงอัจฉริยะ ดังนั้นการพัฒนาเนื้อหาที่เอื้ออำนวยต่อการค้นหาด้วยเสียงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่สามารถมองข้ามได้ เราจะกล่าวถึงเทคนิคต่างๆในการเขียนเนื้อหาที่เหมาะสมกับการค้นหาด้วยเสียง ดังต่อไปนี้

  1. การใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติและการสนทนา

การค้นหาด้วยเสียงมักจะใช้คำพูดที่เป็นธรรมชาติและคล้ายกับการสนทนามากกว่าการพิมพ์คำค้นหาแบบดั้งเดิม ผู้ใช้มักจะถามคำถามในรูปแบบที่พวกเขาจะพูดกับคนอื่นๆ เช่น “อากาศวันนี้อย่างไร” หรือ “ร้านกาแฟใกล้เคียงมีอะไรบ้าง” ดังนั้น:

  • ใช้คำถามที่เป็นธรรมชาติ: เขียนเนื้อหาที่ตอบสนองต่อคำถามที่ผู้คนมักจะถามผ่านอุปกรณ์ค้นหาด้วยเสียง
  • รูปแบบการสนทนา: ใช้ภาษาที่ไม่เป็นทางการและมีความสัมพันธ์กับผู้ฟัง จัดเนื้อหาให้เป็นรูปแบบแบบถาม-ตอบ
  • ใช้คำพูดที่ง่ายและชัดเจน: หลีกเลี่ยงคำศัพท์ที่ซับซ้อนหรืออักษรย่อที่อาจทำให้เกิดความสับสน
  1. การเขียนเนื้อหาที่ตอบคำถามได้ชัดเจน (FAQ)

หน้า FAQ (Frequently Asked Questions) เป็นหน้าที่มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับเนื้อหาที่เหมาะกับการค้นหาด้วยเสียง เพราะสามารถตอบคำถามที่เป็นพื้นฐานและพบเห็นได้บ่อยที่สุดในรูปแบบที่เข้าใจง่าย:

  • รวบรวมคำถามที่พบบ่อย: รวบรวมคำถามที่ลูกค้าหรือผู้ใช้มักจะมีและให้คำตอบที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา
  • โครงสร้างแบบคำถาม-คำตอบ: แบ่งคำถามออกเป็นหมวดหมู่และให้คำตอบในรูปแบบที่สามารถสนทนาได้
  • อัพเดทเนื้อหาบ่อยๆ: สร้างความน่าเชื่อถือและความร่วมสมัยโดยอัพเดทคำถามและคำตอบให้ทันสมัยอยู่เสมอ
  1. ความสำคัญของคำถามและคำตอบที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่น

Voice Search มักจะใช้สำหรับค้นหาข้อมูลท้องถิ่น เช่น ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว หรือบริการต่างๆ ในพื้นที่ ดังนั้นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่นจึงมีบทบาทสำคัญ:

  • เน้นข้อมูลท้องถิ่น: ใส่ข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงต่อพื้นที่ เช่น นามสกุลของพื้นที่ ประเพณีหรือกิจกรรมท้องถิ่นที่น่าสนใจ
  • SEO ท้องถิ่น: ใช้คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่นในเนื้อหาของคุณ เพื่อเพิ่มโอกาสในการถูกค้นพบ
  • คำตอบที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่: ให้คำตอบที่ไม่แต่ตอบสนองคำถามทั่วไป แต่ยังรวมถึงคำตอบที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสถานที่ตั้งของผู้ใช้บริการ

การปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อรองรับ Voice Search

การตลาดดิจิทัลได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้งาน และหนึ่งในเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความนิยมสูงสุดคือ Voice Search หรือการค้นหาด้วยเสียง ซึ่งมีผลต่อวิธีที่ผู้บริโภคค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตอย่างมาก การปรับแต่งเว็บไซต์ให้รองรับกับการค้นหาด้วยเสียงไม่เพียงแต่เพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสปรากฏในผลการค้นหาสูงขึ้นด้วย

  1. การปรับโครงสร้างเว็บไซต์และ Schema Markup

การปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับการค้นหาด้วยเสียงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องคำนึงถึง เว็บไซต์ที่มีโครงสร้างที่ชัดเจน และใช้ Schema Markup อย่างเหมาะสมจะช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น และสามารถนำเสนอข้อมูลที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ได้:

  • ใช้ HTML5 และ Schema.org: ใช้ HTML5 ในการจัดโครงสร้างเว็บไซต์และเพิ่ม Schema Markup จาก Schema.org เพื่อระบุประเภทของเนื้อหา (เช่น, `Article`, `Product`, `Event`) และช่วยเหลือเครื่องมือค้นหาในการอ่านและแปลเนื้อหาได้อย่างถูกต้อง
  • เพิ่ม Microdata ที่เกี่ยวข้องกับเสียง: นอกจากการใช้ schema ทั่วไปแล้ว ยังควรเพิ่มข้อมูล Microdata ที่ช่วยในการตอบคำถามที่ซับซ้อนผ่านการค้นหาด้วยเสียง อาทิเช่น คำถามเกี่ยวกับสถานที่ เวลา หรือคุณสมบัติต่างๆ
  • โครงสร้าง URL ที่เป็นมิตร: สร้าง URL ที่มีความหมาย สั้น และเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของหน้านั้นๆ เพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาจัดหมวดหมู่ข้อมูลได้ง่ายขึ้น
  1. เทคนิคการใช้หัวข้อย่อยและรายละเอียดในเว็บไซต์

เนื้อหาภายในเว็บไซต์ควรจะเป็นมิตรกับการค้นหาด้วยเสียงโดยการใช้หัวข้อย่อยและคำอธิบายที่ชัดเจน:

  • ใช้หัวข้อย่อยที่มีความชัดเจน: จัดระเบียบเนื้อหาด้วยหัวข้อย่อย (H1, H2, H3 ฯลฯ) ที่ช่วยให้ผู้อ่านและเครื่องมือค้นหาเข้าใจโครงสร้างของเนื้อหาได้ง่าย
  • ภาษาที่ใช้พูด (Conversational Language): เขียนเนื้อหาด้วยภาษาที่เป็นธรรมชาติและใกล้เคียงกับการพูดจริง เพื่อให้ตรงกับวิธีที่ผู้คนมักจะถามคำถามกับเครื่องมือค้นหาด้วยเสียง
  • คำอธิบาย Meta ที่มีประสิทธิภาพ: รวมถึงคำอธิบาย Meta ที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย เพื่อเพิ่มโอกาสในการถูกเลือกให้ปรากฏในผลการค้นหา
  1. การใช้งานของเมตาดาต้าเพื่อเพิ่มการมองเห็น

เมตาดาต้ามีบทบาทสำคัญในการทำให้เว็บไซต์ปรากฏในผลการค้นหาสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้นหาด้วยเสียงที่ต้องการข้อมูลที่รวดเร็วและแม่นยำ:

  • Title Tags และ Meta Descriptions: ใช้ Title Tags และ Meta Descriptions ที่รวมคำหลักที่เหมาะสม และบรรยายเนื้อหาของหน้าเว็บได้อย่างชัดเจน
  • Open Graph และ Twitter Cards: ใช้ Open Graph Tags และ Twitter Cards เพื่อเพิ่มการแสดงผลของลิงก์ที่แชร์บนโซเชียลมีเดีย ซึ่งช่วยเพิ่มการมองเห็นและการคลิกเข้าชม
  • การใช้งานของ Rich Snippets: ใช้งาน Rich Snippets เพื่อให้ผลการค้นหาดูน่าสนใจมากขึ้น ด้วยการแสดงรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น รีวิว, คะแนน, หรือแม้กระทั่งราคาสินค้า

การปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับ Voice Search ไม่เพียงแต่เพิ่มโอกาสในการถูกค้นพบโดยผู้ใช้ที่ใช้การค้นหาด้วยเสียงเท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ที่กว้างขึ้น และเสริมสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

SEO สำหรับ Voice Search

การตลาดแบบ Voice Search เป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงและเปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้บริโภคค้นหาข้อมูลออนไลน์ไปอย่างมาก การปรับใช้ SEO สำหรับ Voice Search จึงเป็นเรื่องที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญ เพื่อให้สามารถติดอันดับในผลการค้นหาด้วยเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังต่อไปนี้

  1. การวิจัยคำหลักสำหรับ Voice Search

การวิจัยคำหลักสำหรับ Voice Search มีความแตกต่างจากการวิจัยคำหลักแบบเดิมๆ เพราะผู้ใช้มักจะใช้คำถามแบบพูดนานๆ และเป็นภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวันมากกว่าเมื่อพิมพ์ค้นหา ตัวอย่างเช่น:

  • ใช้เครื่องมือที่สามารถวิเคราะห์คำถามที่ผู้ใช้พูดเข้ามา เช่น Answer the Public หรือ Question Samurai เพื่อหาคำถามยอดนิยมที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหรือผลิตภัณฑ์ของคุณ
  • พิจารณาคำถามที่เริ่มด้วยคำว่า “อะไร”, “ทำไม”, “เมื่อไหร่”, “อย่างไร”, และ “ใคร” เพราะเหล่านี้เป็นคำถามที่พบบ่อยในการค้นหาด้วยเสียง
  1. การปรับแต่งคำหลักที่ใช้ในคำถาม

เมื่อได้คำหลักจากการวิจัยแล้ว การปรับแต่งเนื้อหาให้ตรงกับคำถามเหล่านั้นเป็นสิ่งสำคัญ:

  • สร้างเนื้อหาที่ตอบคำถามเหล่านี้อย่างชัดเจนและโดยตรง ใช้คำหลักที่วิจัยได้ในหัวข้อย่อยและคำอธิบาย
  • ปรับใช้คำหลักในรูปแบบที่ฟังดูเป็นธรรมชาติและเหมือนการพูดคุย เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ภาษาในการค้นหาด้วยเสียง
  1. การเพิ่มความเป็นท้องถิ่นในการค้นหา

Voice Search มักใช้ในการค้นหาบริการหรือสถานที่ใกล้เคียง ดังนั้นการเพิ่มความเป็นท้องถิ่นเป็นสิ่งสำคัญ:

  • ใช้คำหลักที่มีความเกี่ยวข้องกับทำเลที่ตั้ง เช่น ร้านอาหารในกรุงเทพ, โรงแรมใกล้สยาม
  • รวมข้อมูลที่อัปเดตและแม่นยำเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้ง ชั่วโมงทำการ และวิธีการติดต่อ
  • ปรับใช้ Schema Markup ในเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะปรากฏในการค้นหาแบบ Local Packs ซึ่งประกอบด้วยแผนที่และข้อมูลสำคัญทางธุรกิจ

การปรับใช้ SEO สำหรับ Voice Search ไม่เพียงแต่ช่วยให้เนื้อหาของคุณติดอันดับได้ดีขึ้นในการค้นหาแบบเสียงเท่านั้น ยังช่วยให้แบรนด์ของคุณมีความเกี่ยวข้องมากขึ้นกับการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ อีกด้วย 

การตลาดด้วยเทคโนโลยี Voice Search

การตลาดด้วยเทคโนโลยี Voice Search คือ การใช้เทคโนโลยีการรับรู้เสียงเพื่อให้ผู้ใช้สามารถสั่งการหรือค้นหาข้อมูลผ่านอุปกรณ์อัจฉริยะได้โดยใช้เสียงพูด ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้บริโภคสมัยใหม่ การตลาดที่ใช้เทคโนโลยีนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ธุรกิจควรให้ความสนใจเพื่อตอบสนองต่อพฤติกรรมการค้นหาข้อมูลและการช็อปปิ้งของผู้บริโภค การตลาดด้วย Voice Search ประกอบไปด้วยหลายด้าน ดังนี้:

  1. ความสะดวกสบายในการใช้งาน: ผู้ใช้สามารถทำการค้นหาหรือสั่งซื้อผลิตภัณฑ์โดยไม่ต้องใช้มือ ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานขณะทำกิจกรรมอื่นๆ
  2. การเข้าถึงผู้ใช้งานใหม่ๆ: เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ผู้ที่มีข้อจำกัดด้านการมองเห็นหรือผู้สูงอายุที่อาจพบปัญหาในการใช้เทคโนโลยีสัมผัสได้ง่ายขึ้น
  3. การเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแบรนด์: ผ่านการค้นหาด้วยเสียง ธุรกิจสามารถเป็นทางเลือกแรกๆ ที่ปรากฏขึ้นในการค้นหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคำค้นหาที่เกี่ยวกับทำเลที่ตั้งหรือคำค้นหาที่เฉพาะเจาะจง
  4. การใช้งานที่เพิ่มขึ้นในอุปกรณ์เสียงอัจฉริยะ: อุปกรณ์เช่น Amazon Echo หรือ Google Home กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของครัวเรือน ให้โอกาสในการเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้บริโภค
  5. SEO และการปรับแต่งเนื้อหา: เพื่อให้เข้ากับการค้นหาด้วยเสียง ธุรกิจต้องปรับเนื้อหาให้สามารถตอบสนองคำถามที่เป็นธรรมชาติและคำพูดยาวๆ ที่ผู้ใช้มักใช้ในการพูดมากกว่าการพิมพ์

การปรับตัวและใช้งานการตลาดด้วยเทคโนโลยี Voice Search อย่างเต็มประสิทธิภาพจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงและเชื่อมต่อกับลูกค้าได้ดีขึ้น และสร้างประสบการณ์ที่ลูกค้าพึงพอใจ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตและการรักษาลูกค้าได้มากขึ้นในระยะยาว

หากคุณเป็นธุรกิจ SME ที่กำลังมองหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดและการสื่อสารกับลูกค้า ทาง SABLE เรามีโซลูชั่นการจัดการข้อมูลลูกค้าและการตลาดอัตโนมัติที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างยั่งยืน ติดต่อเราวันนี้เพื่อเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงที่จะนำพาธุรกิจของคุณไปสู่ความสำเร็จต่อไป

บทความใกล้เคียง