การใช้ Social Media ในการสร้าง Lead กับ การตลาดแบบรู้ใจ

การใช้ Social Media ในการสร้าง Lead กับ การตลาดแบบรู้ใจ

การใช้ Social Media ในการสร้าง Lead กับ การตลาดแบบรู้ใจ

ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกด้านของชีวิต การทำธุรกิจก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น การสร้าง Lead หรือการหาผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า (Potential Customers) กับ การตลาดแบบรู้ใจ จึงกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของทุกธุรกิจ การมี Lead ที่มีคุณภาพเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การเพิ่มยอดขายและความสำเร็จในระยะยาว

ความสำคัญของการสร้าง Lead ในธุรกิจปัจจุบัน

การสร้าง Lead เป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการขาย โดยการสร้าง Lead ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดต่อกับผู้ที่สนใจในสินค้าหรือบริการของตนได้ การมี Lead ที่ดีไม่เพียงแค่เพิ่มโอกาสในการขาย แต่ยังช่วยในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ

ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง การที่ธุรกิจสามารถเข้าถึงและดึงดูด Lead ที่มีคุณภาพได้จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก การมีฐานลูกค้าที่มีความสนใจและมีศักยภาพในการซื้อสินค้าหรือบริการสามารถช่วยลดต้นทุนในการตลาด และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาดแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น

บทบาทของ Social Media ในการสร้าง Lead

Social Media ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้าง Lead ในยุคดิจิทัล เนื่องจากมีผู้ใช้งานจำนวนมากและเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวาง การใช้ Social Media เพื่อสร้าง Lead มีข้อดีหลายประการ เช่น การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ การโต้ตอบกับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และการใช้โฆษณาที่เจาะจงเพื่อดึงดูดผู้ที่สนใจ

Social Media ยังเป็นช่องทางที่ช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) และสร้างความเชื่อมั่นในสินค้าหรือบริการของธุรกิจได้ดี เมื่อธุรกิจสามารถสร้างความน่าสนใจและความเชื่อมั่นผ่านการโพสต์คอนเทนต์ที่มีคุณค่าและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ติดตาม จะช่วยดึงดูด Lead ที่มีคุณภาพและมีโอกาสสูงในการเปลี่ยนเป็นลูกค้าจริง

เลือกแพลตฟอร์ม Social Media ที่เหมาะสม

การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย

ก่อนที่จะเลือกใช้แพลตฟอร์ม Social Media ใดๆ สิ่งสำคัญคือการวิเคราะห์และทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณให้ดี เพื่อให้การสร้าง Lead มีประสิทธิภาพมากที่สุด ข้อมูลที่ควรวิเคราะห์รวมถึง:

ประชากรศาสตร์ (Demographics)

  • อายุ
  • เพศ
  • รายได้
  • สถานภาพสมรส
  • การศึกษา

ภูมิศาสตร์ (Geographics)

  • ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์
  • สภาพแวดล้อม

พฤติกรรมและความสนใจ (Behavior and Interests)

  • ความสนใจ
  • พฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์
  • ปัญหาและความต้องการ

จิตวิทยา (Psychographics)

  • บุคลิกภาพ
  • ไลฟ์สไตล์
  • ค่านิยมและทัศนคติ

การเลือกใช้แพลตฟอร์มที่เหมาะสม

เมื่อทำการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการเลือกแพลตฟอร์ม Social Media ที่เหมาะสมในการสร้าง Lead ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มมีคุณสมบัติและลักษณะเด่นที่แตกต่างกัน ดังนี้:

Facebook

คุณสมบัติเด่น: เหมาะสำหรับการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายและครอบคลุม มีเครื่องมือการโฆษณาที่มีความยืดหยุ่นสูง

การใช้: ใช้สำหรับสร้างคอนเทนต์ที่มีความยาว เช่น บทความ วิดีโอ และการไลฟ์สด นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Lead Generation Forms ที่สามารถเก็บข้อมูลผู้ใช้งานได้ง่าย

Instagram

คุณสมบัติเด่น: เน้นภาพและวิดีโอที่มีความสร้างสรรค์ เหมาะสำหรับการเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ (อายุ 18-34 ปี)

การใช้: ใช้สำหรับสร้างคอนเทนต์ที่มีภาพสวยงาม เช่น รูปภาพและวิดีโอสั้น รวมถึงการใช้ Instagram Stories และ Instagram Ads เพื่อดึงดูดความสนใจ

LinkedIn

คุณสมบัติเด่น: เหมาะสำหรับการสร้าง Lead ในกลุ่มธุรกิจ B2B และผู้เชี่ยวชาญในวงการต่างๆ

การใช้: ใช้สำหรับสร้างคอนเทนต์ที่เน้นความเชี่ยวชาญและข้อมูลเชิงลึก เช่น บทความเชิงวิชาการ, Whitepapers และการเชื่อมโยงกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม

Twitter

คุณสมบัติเด่น: เหมาะสำหรับการสื่อสารแบบรวดเร็วและการติดตามข่าวสาร

การใช้: ใช้สำหรับสร้างคอนเทนต์ที่สั้นและกระชับ เช่น ข้อความสั้น, การทวีต, และการใช้ Hashtags เพื่อเพิ่มการเข้าถึง

TikTok

คุณสมบัติเด่น: เน้นการสร้างวิดีโอสั้นและมีความสร้างสรรค์ เหมาะสำหรับการเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่

การใช้: ใช้สำหรับสร้างคอนเทนต์วิดีโอสั้นที่น่าสนใจและการท้าทายต่างๆ เพื่อดึงดูดความสนใจและสร้างความสนุกสนาน

การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณสามารถสร้าง Lead ได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณมากที่สุด ควรทดลองและวัดผลเพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ให้ดียิ่งขึ้นอยู่เสมอ

การสร้างคอนเทนต์ที่ดึงดูดความสนใจ

ประเภทของคอนเทนต์ที่ดึงดูด Lead

การสร้างคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูด Lead บน Social Media นั้นจำเป็นต้องมีความหลากหลายและน่าสนใจ เพื่อตอบสนองความต้องการและความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย ต่อไปนี้เป็นประเภทของคอนเทนต์ที่สามารถใช้ดึงดูด Lead ได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

บทความ (Articles):

บทความเป็นรูปแบบคอนเทนต์ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกและมีคุณค่า แนะนำให้เขียนบทความที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรืออุตสาหกรรมของคุณ โดยควรมีเนื้อหาที่ชัดเจนและตรงประเด็น เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจและได้รับประโยชน์จากข้อมูลที่นำเสนอ

ตัวอย่างเช่น บทความแนะนำเทคนิคการใช้ผลิตภัณฑ์ บทความเกี่ยวกับแนวโน้มล่าสุดในอุตสาหกรรม หรือบทความที่แก้ไขปัญหาที่พบได้บ่อยในกลุ่มลูกค้าของคุณ

วิดีโอ (Videos):

วิดีโอเป็นรูปแบบคอนเทนต์ที่มีพลังในการดึงดูดความสนใจอย่างมาก การใช้วิดีโอเพื่อแนะนำสินค้า บริการ หรือให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ จะช่วยให้ผู้ชมมีความเข้าใจและมีความเชื่อมั่นในแบรนด์ของคุณมากขึ้น

ควรใช้วิดีโอที่มีคุณภาพสูง และเนื้อหาที่สั้น กระชับ และน่าสนใจ เช่น วิดีโอสาธิตการใช้งานผลิตภัณฑ์ วิดีโอสัมภาษณ์ลูกค้าพึงพอใจ หรือวิดีโอที่แสดงถึงเบื้องหลังการทำงานของธุรกิจ

อินโฟกราฟิก (Infographics):

อินโฟกราฟิกเป็นวิธีการนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่ายและรวดเร็ว ผ่านการใช้ภาพและกราฟิก สามารถใช้เพื่ออธิบายข้อมูลทางสถิติ ขั้นตอนการทำงาน หรือแนวคิดต่างๆ ที่ต้องการเน้นย้ำ

การใช้สีสันที่น่าสนใจ และการออกแบบที่เรียบง่ายแต่ชัดเจน จะช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจและจดจำข้อมูลได้ดีขึ้น

การใช้คอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องและมีคุณค่า

การสร้างคอนเทนต์ที่ดึงดูดความสนใจไม่เพียงแค่สร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจเท่านั้น แต่ยังต้องมีความเกี่ยวข้องและมีคุณค่าสำหรับกลุ่มเป้าหมายด้วย:

การวิจัยและเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย:

ก่อนที่จะสร้างคอนเทนต์ ควรทำการวิจัยและเข้าใจความต้องการและความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้แน่ใจว่าคอนเทนต์ที่สร้างขึ้นนั้นตรงกับความต้องการของพวกเขา

ใช้เครื่องมือการวิเคราะห์และข้อมูลจากการติดตามพฤติกรรมผู้ใช้งานบน Social Media เพื่อทำความเข้าใจในสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายของคุณกำลังมองหาและสนใจ

การสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์:

เน้นการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่าและให้ประโยชน์แก่กลุ่มเป้าหมาย เช่น การให้คำแนะนำ เทคนิค หรือข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้ได้จริง

ควรใช้คอนเทนต์ที่สร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือในแบรนด์ของคุณ เช่น การแชร์กรณีศึกษา รีวิวจากลูกค้าจริง หรือข้อมูลที่มีการสนับสนุนจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

การอัพเดทและปรับปรุงคอนเทนต์:

คอนเทนต์ควรมีการอัพเดทและปรับปรุงอยู่เสมอ เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของความสนใจและความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย

ใช้ข้อมูลและ Feedback ที่ได้รับจากผู้ใช้งาน เพื่อปรับปรุงและพัฒนาคอนเทนต์ให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การสร้างและจัดการแคมเปญโฆษณา

  1. วางแผนและกำหนดเป้าหมาย: การสร้างแคมเปญโฆษณาบน Social Media เริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น การเพิ่มจำนวนผู้สมัครสมาชิก การเพิ่มยอดขาย หรือการเพิ่มการรับรู้แบรนด์ เพื่อให้สามารถวัดผลได้และปรับปรุงกลยุทธ์ได้ตรงจุด
  2. เลือกประเภทโฆษณา: Social Media มีประเภทของโฆษณาหลากหลาย เช่น โฆษณารูปภาพ โฆษณาวิดีโอ โฆษณา Carousel และโฆษณา Story ควรเลือกประเภทที่เหมาะสมกับเนื้อหาและกลุ่มเป้าหมายของคุณ
  3. การสร้างคอนเทนต์ที่ดึงดูด: คอนเทนต์ของโฆษณาควรมีความน่าสนใจ ดึงดูดความสนใจ และมี Call-to-Action (CTA) ที่ชัดเจน เช่น “สมัครตอนนี้” หรือ “เรียนรู้เพิ่มเติม” เพื่อกระตุ้นให้ผู้ชมทำตามที่คุณต้องการ
  4. การกำหนดงบประมาณ: กำหนดงบประมาณโฆษณาที่เหมาะสม โดยสามารถเริ่มต้นด้วยงบประมาณเล็ก ๆ และปรับเพิ่มตามผลลัพธ์ที่ได้รับ
  5. การทดสอบและปรับปรุง: ใช้การทดสอบ A/B (A/B Testing) เพื่อทดสอบองค์ประกอบต่าง ๆ ของโฆษณา เช่น ภาพ, ข้อความ, CTA และปรับปรุงตามผลลัพธ์ที่ได้เพื่อให้ได้แคมเปญที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

การใช้ฟีเจอร์พิเศษใน Social Media สำหรับ Lead Generation

การสร้าง Lead กับ การตลาดแบบรู้ใจ ผ่าน Social Media นอกจากจะต้องพึ่งพาคอนเทนต์ที่น่าสนใจและการโฆษณาที่มีประสิทธิภาพแล้ว การใช้ฟีเจอร์พิเศษต่างๆ ที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมีให้ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญ มาดูกันว่ามีฟีเจอร์อะไรบ้างที่สามารถใช้ในการสร้าง Lead ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้ฟอร์มสมัครสมาชิก (Lead Generation Forms)

ฟีเจอร์ Lead Generation Forms เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การเก็บข้อมูลจากผู้ใช้เป็นไปอย่างง่ายดายและสะดวกสบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนแพลตฟอร์มอย่าง Facebook และ LinkedIn ที่มีฟอร์มในตัวทำให้ผู้ใช้สามารถกรอกข้อมูลได้โดยไม่ต้องออกจากแอปพลิเคชัน

  • Facebook Lead Ads: ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้โฆษณาสามารถสร้างฟอร์มสมัครสมาชิกที่ปรากฏในหน้าโฆษณา เมื่อผู้ใช้คลิกที่โฆษณา ฟอร์มที่มีการเติมข้อมูลอัตโนมัติจากโปรไฟล์ของผู้ใช้จะปรากฏขึ้น ทำให้ผู้ใช้สามารถสมัครสมาชิกได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
  • LinkedIn Lead Gen Forms: ฟีเจอร์นี้เหมาะสำหรับการสร้าง Lead ในธุรกิจแบบ B2B ผู้ใช้ LinkedIn สามารถกรอกฟอร์มที่มีการเติมข้อมูลอัตโนมัติจากโปรไฟล์ของพวกเขา ทำให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำและมีคุณภาพ

การใช้ Call-to-Action (CTA)

Call-to-Action หรือ CTA เป็นข้อความหรือปุ่มที่กระตุ้นให้ผู้ใช้ทำกิจกรรมบางอย่าง เช่น การสมัครสมาชิก การดาวน์โหลดเอกสาร หรือการติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติม

  • การเลือกคำที่มีผลกระทบ: คำที่ใช้ใน CTA ควรเป็นคำที่มีความชัดเจน กระตุ้นให้เกิดการกระทำทันที เช่น “สมัครเลย” “ดาวน์โหลดฟรี” หรือ “ติดต่อเรา”
  • การวางตำแหน่งที่เหมาะสม: CTA ควรจะอยู่ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นในโพสต์ บนหน้าโปรไฟล์ หรือในโฆษณา การวางตำแหน่งที่ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสในการคลิก
  • การออกแบบที่ดึงดูด: ปุ่ม CTA ควรมีการออกแบบที่น่าสนใจ ใช้สีสันที่โดดเด่นและสามารถดึงดูดสายตาได้ดี

การใช้ฟีเจอร์การติดต่อโดยตรง (Direct Messaging)

การติดต่อโดยตรงผ่าน Direct Messaging เป็นวิธีที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับผู้ใช้และสามารถเก็บข้อมูล Lead ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • การใช้ Facebook Messenger: ผู้ใช้สามารถตั้งค่าการตอบกลับอัตโนมัติและการสนทนาแบบโต้ตอบเพื่อเก็บข้อมูลจากผู้ใช้ ทำให้สามารถเก็บข้อมูล Lead ได้ตลอดเวลา
  • การใช้ Instagram Direct: การส่งข้อความตรงไปยังผู้ใช้ที่มีความสนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการ สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้าง Lead และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น
  • การใช้ LinkedIn Messaging: สำหรับธุรกิจ B2B การใช้ LinkedIn Messaging ในการติดต่อผู้ที่มีศักยภาพเป็นลูกค้าจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มโอกาสในการสร้าง Lead

การจัดการและตอบกลับ Lead อย่างมีประสิทธิภาพ

การสร้าง Lead จาก Social Media เป็นเพียงขั้นตอนแรกในการเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้า เพื่อให้การสร้าง Lead มีประสิทธิภาพสูงสุด ธุรกิจต้องสามารถจัดการและตอบกลับ Lead ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้:

การตอบกลับ Lead อย่างรวดเร็ว

ความสำคัญของการตอบกลับอย่างรวดเร็ว:

การตอบกลับ Lead อย่างรวดเร็วช่วยเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยน Lead ให้เป็นลูกค้าจริง ๆ ตอบกลับที่ช้าอาจทำให้ Lead สูญหายหรือถูกคู่แข่งนำไปได้

การตั้งค่าระบบแจ้งเตือน:

ใช้ระบบแจ้งเตือนเมื่อมี Lead ใหม่เข้ามา เพื่อให้ทีมงานทราบและสามารถตอบกลับได้ทันทีสามารถตั้งค่าแจ้งเตือนผ่านอีเมล, แอปพลิเคชัน หรือระบบ CRM

การเตรียมคำตอบล่วงหน้า:

เตรียมคำตอบล่วงหน้าสำหรับคำถามที่พบบ่อยเพื่อให้ทีมงานสามารถตอบกลับได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ใช้เทมเพลตข้อความช่วยลดเวลาในการตอบกลับและเพิ่มความสม่ำเสมอของข้อมูล

การใช้ CRM และ Marketing Automation

การใช้ระบบ CRM (Customer Relationship Management):

ระบบ CRM ช่วยให้การจัดการ Lead เป็นไปอย่างเป็นระบบ สามารถติดตามสถานะของ Lead ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บันทึกข้อมูลของ Lead เช่น ข้อมูลการติดต่อ ประวัติการสนทนา และความต้องการของลูกค้า เพื่อให้ทีมงานสามารถให้บริการที่เหมาะสมและตรงจุด

การใช้ Marketing Automation:

ระบบ Marketing Automation ช่วยในการตอบกลับและติดตาม Lead อย่างอัตโนมัติ โดยไม่ต้องใช้แรงงานมาก

การใช้ Email Automation เพื่อส่งอีเมลติดตามผล, ข่าวสาร, หรือโปรโมชั่นตามระยะเวลาที่กำหนด ทำให้ Lead รู้สึกว่าธุรกิจยังคงสนใจและติดตามพวกเขาอยู่

การรวม CRM และ Marketing Automation:

การรวมระบบ CRM และ Marketing Automation ทำให้ธุรกิจสามารถจัดการ Lead ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ

การติดตามพฤติกรรมของ Lead ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูล ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดและการขายให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น

กรณีศึกษาและตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ: ตัวอย่างจากธุรกิจที่ใช้ Social Media ในการสร้าง Lead อย่างมีประสิทธิภาพ

ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การสร้าง Leadv กับ การตลาดแบบรู้ใจ ที่มีคุณภาพเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หลายธุรกิจได้ประสบความสำเร็จในการใช้ Social Media เป็นเครื่องมือในการสร้าง Lead อย่างมีประสิทธิภาพ ดังตัวอย่างกรณีศึกษาต่อไปนี้:

1. กรณีศึกษาของบริษัท HubSpot

HubSpot บริษัทด้านซอฟต์แวร์การตลาดและการขาย ได้ใช้ Social Media เพื่อสร้าง Lead อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้กลยุทธ์ดังนี้:

  • การสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่า: HubSpot เน้นการเผยแพร่บทความที่เกี่ยวข้องกับการตลาดและการขาย ซึ่งมีเนื้อหาที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย
  • การใช้ Call-to-Action (CTA): บทความและโพสต์ของ HubSpot มักมี CTA ที่ชัดเจน เช่น การเชิญชวนให้ดาวน์โหลด eBook หรือสมัครเว็บบินาร์
  • การใช้โฆษณา Facebook: HubSpot ใช้โฆษณา Facebook เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ โดยมีการตั้งเป้าหมายโฆษณาอย่างแม่นยำ และการใช้รีมาร์เก็ตติ้งเพื่อดึงดูดผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์กลับมาอีกครั้ง

2. กรณีศึกษาของ Nike

Nike แบรนด์ชั้นนำด้านอุปกรณ์กีฬา ใช้ Social Media อย่างมีประสิทธิภาพในการสร้าง Lead โดยมีกลยุทธ์ดังนี้:

  • การใช้เนื้อหาที่มีความน่าสนใจ: Nike สร้างเนื้อหาวิดีโอที่น่าสนใจและกระตุ้นการมีส่วนร่วมจากผู้ติดตาม เช่น วิดีโอการออกกำลังกายและเคล็ดลับการใช้ผลิตภัณฑ์
  • การใช้ Instagram Stories: Nike ใช้ Instagram Stories เพื่อแสดงผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และโปรโมชันพิเศษ โดยมีการใช้ลิงก์ Swipe Up เพื่อให้ผู้ติดตามสามารถไปยังหน้าขายสินค้าได้โดยตรง
  • การใช้ผู้มีอิทธิพล (Influencers): Nike ร่วมมือกับผู้มีอิทธิพลในวงการกีฬาและฟิตเนส เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่

3. กรณีศึกษาของ Airbnb

Airbnb แพลตฟอร์มการเช่าที่พัก ได้ใช้ Social Media เพื่อสร้าง Lead อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีกลยุทธ์ดังนี้:

  • การสร้างชุมชนออนไลน์: Airbnb สร้างชุมชนผู้ใช้งานที่เข้มแข็งบน Facebook และ Instagram โดยส่งเสริมให้ผู้ใช้งานแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยวและที่พักของตนเอง
  • การใช้โฆษณา Video: Airbnb ใช้โฆษณาวิดีโอบน YouTube และ Facebook เพื่อแสดงประสบการณ์การท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และกระตุ้นให้ผู้ชมสนใจใช้บริการ
  • การจัดกิจกรรมออนไลน์: Airbnb จัดกิจกรรมออนไลน์ เช่น ไลฟ์สดการท่องเที่ยวและการพูดคุยกับเจ้าของที่พัก ซึ่งช่วยสร้างความสัมพันธ์และความน่าเชื่อถือ

คุณพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการตลาดของคุณและพาธุรกิจของคุณไปสู่ระดับต่อไปหรือยัง? หากคุณต้องการที่จะเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่าง ก้าวไปข้างหน้าด้วยเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณเข้าใจลูกค้าและตลาดของคุณได้ดีขึ้น ที่ SABLE เราพร้อมที่จะช่วยให้คุณทำการตลาดด้วยความมั่นใจ ด้วยเครื่องมือ Marketing Automation ที่ออกแบบมาเพื่อความเรียบง่ายและประสิทธิภาพสูงสุด

🚀 เข้าร่วมกับเราวันนี้ เพื่อปลดล็อกศักยภาพทางการตลาดของคุณ และเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ต้องการในเวลาอันรวดเร็ว

💡 ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร? ไม่ต้องกังวล เพราะทีมงานของเราพร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำคุณทุกขั้นตอน

🔗 คลิกที่ลิงก์นี้เพื่อลงทะเบียนสำหรับการสาธิตฟรี และเริ่มต้นการเดินทางทางการตลาดที่เต็มไปด้วยความสำเร็จกับ SABLE วันนี้!