เคล็ดลับในการปรับปรุงความเร็ว Page Speed เพิ่มประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้

เคล็ดลับในการปรับปรุงความเร็ว Page Speed เพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้

เคล็ดลับในการปรับปรุงความเร็ว Page Speed เพิ่มประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้

ในยุคที่เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตพัฒนาอย่างรวดเร็ว ผู้ใช้งานมีความคาดหวังในการเข้าถึงข้อมูลและบริการต่างๆ ผ่านเว็บไซต์อย่างรวดเร็วและไม่มีการสะดุด ดังนั้น ความเร็วในการโหลดเพจ Page Speed จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

1. ความเร็วในการโหลดเพจส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของผู้ใช้

ความเร็วในการโหลดเพจมีผลโดยตรงต่อการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ ผู้ใช้งานที่ต้องรอนานในการโหลดเพจมีแนวโน้มที่จะละทิ้งเว็บไซต์และหาแหล่งข้อมูลหรือบริการจากที่อื่น งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่าผู้ใช้งานที่ต้องรอนานกว่า 3 วินาทีในการโหลดเพจจะมีอัตราการละทิ้งเว็บไซต์สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลเสียต่อการมีส่วนร่วมและการสร้างความสัมพันธ์กับผู้ใช้

2. ความเร็วในการโหลดเพจส่งผลต่อการรักษาผู้ใช้งานไว้ได้

นอกจากจะมีผลต่อการมีส่วนร่วมแล้ว ความเร็วในการโหลดเพจยังส่งผลต่อการรักษาผู้ใช้งานไว้ได้อีกด้วย เว็บไซต์ที่โหลดเร็วจะสร้างประสบการณ์ที่ดีและทำให้ผู้ใช้งานมีความพึงพอใจมากขึ้น ผู้ใช้งานที่มีประสบการณ์ที่ดีกับเว็บไซต์มักจะกลับมาใช้บริการอีกครั้งและแนะนำเว็บไซต์นั้นให้กับผู้อื่น ดังนั้น การรักษาผู้ใช้งานไว้ได้เป็นเวลานานขึ้นเป็นผลลัพธ์ที่ตามมาจากการเพิ่มความเร็วในการโหลดเพจ

3. ความเร็วในการโหลดเพจส่งผลต่อการจัดอันดับบนเสิร์ชเอนจิน

ความเร็วในการโหลดเพจยังมีผลต่อการจัดอันดับบนเสิร์ชเอนจิน (SEO) เช่น Google ซึ่งได้ประกาศว่าความเร็วในการโหลดเพจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ เว็บไซต์ที่โหลดเร็วมีแนวโน้มที่จะได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น ส่งผลให้มีการเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้นและมีโอกาสในการสร้างยอดขายหรือการให้บริการเพิ่มขึ้น

4. ความประทับใจครั้งแรกที่ดี

ในโลกดิจิทัล ความประทับใจครั้งแรกที่ดีมักเกิดขึ้นในเวลาไม่กี่วินาทีแรกที่ผู้ใช้งานเข้ามายังเว็บไซต์ การที่เว็บไซต์โหลดเร็วและตอบสนองอย่างรวดเร็วจะสร้างความประทับใจที่ดีตั้งแต่แรกเริ่ม ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกพึงพอใจและมีโอกาสสูงที่จะอยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น

5. การแข่งขันในตลาดออนไลน์

ในยุคที่การแข่งขันในตลาดออนไลน์มีความรุนแรง ความเร็วในการโหลดเพจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เว็บไซต์ที่มีความเร็วในการโหลดสูงจะดึงดูดผู้ใช้งานมากกว่า และสามารถแย่งชิงผู้ใช้งานจากคู่แข่งได้ง่ายขึ้น

การวัดและการวิเคราะห์เวลาในการโหลด

การปรับปรุงความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์เป็นขั้นตอนสำคัญในการเพิ่มประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ เพื่อให้เราสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการวัดและวิเคราะห์เวลาในการโหลดอย่างถูกต้อง โดยการใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Google PageSpeed Insights จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการวัดและวิเคราะห์เวลาในการโหลดของเว็บไซต์เรา

Google PageSpeed Insights คืออะไร?

Google PageSpeed Insights เป็นเครื่องมือที่ให้บริการโดย Google เพื่อช่วยให้ผู้พัฒนาเว็บไซต์สามารถตรวจสอบและประเมินประสิทธิภาพของหน้าเว็บได้ เครื่องมือนี้จะให้คะแนนประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณทั้งในเวอร์ชันเดสก์ท็อปและมือถือ พร้อมทั้งแนะนำวิธีการปรับปรุงที่สามารถทำได้

วิธีการใช้ Google PageSpeed Insights

  1. เข้าเว็บไซต์ Google PageSpeed Insights: เริ่มต้นโดยเข้าไปที่เว็บไซต์ Google PageSpeed Insights
  2. ป้อน URL ของเว็บไซต์: ในช่องที่กำหนด ให้ป้อน URL ของเว็บไซต์หรือหน้าที่คุณต้องการทดสอบ แล้วคลิกที่ปุ่ม “Analyze”
  3. รับผลการวิเคราะห์: เมื่อการวิเคราะห์เสร็จสิ้น คุณจะได้รับคะแนนประสิทธิภาพสำหรับเว็บไซต์ของคุณ พร้อมทั้งรายงานรายละเอียดเกี่ยวกับองค์ประกอบต่างๆ ที่ส่งผลต่อความเร็วในการโหลด
  4. ดูคำแนะนำและข้อเสนอแนะ: Google PageSpeed Insights จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับปรุงประสิทธิภาพ เช่น การบีบอัดภาพ, การใช้แคช, การลดจำนวนการร้องขอ HTTP เป็นต้น

การวิเคราะห์ข้อมูลจาก PageSpeed Insights

เมื่อคุณได้รับผลการวิเคราะห์จาก Google PageSpeed Insights คุณควรให้ความสำคัญกับสิ่งต่อไปนี้:

  1. คะแนนประสิทธิภาพ (Performance Score): คะแนนนี้จะแสดงผลเป็นตัวเลขจาก 0 ถึง 100 คะแนนที่สูงขึ้นหมายถึงเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  2. การจัดลำดับความสำคัญของปัญหา (Opportunities): ส่วนนี้จะแสดงรายการของปัญหาที่มีความสำคัญต่อการปรับปรุงประสิทธิภาพ พร้อมทั้งแสดงผลกระทบที่แต่ละปัญหามีต่อเวลาในการโหลด
  3. การวิเคราะห์องค์ประกอบที่ส่งผลต่อความเร็ว (Diagnostics): นี่คือการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับองค์ประกอบต่างๆ ของเว็บไซต์ เช่น การใช้ JavaScript, CSS, และการตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์
  4. การวิเคราะห์แบบ Mobile และ Desktop: PageSpeed Insights จะวิเคราะห์และให้คะแนนแยกต่างหากสำหรับเวอร์ชันมือถือและเดสก์ท็อป คุณควรพิจารณาปรับปรุงประสิทธิภาพทั้งสองเวอร์ชันเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์ใด

การใช้ Google PageSpeed Insights อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น และช่วยเพิ่มความพึงพอใจในการใช้งานเว็บไซต์

การเลือกโฮสติ้งที่เหมาะสมมีผลอย่างยิ่งต่อความเร็วในการโหลดเพจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับผู้ใช้ การเลือกโฮสติ้งที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้สามารถลดเวลาการตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์และเพิ่มความเสถียรในการเข้าถึงเว็บไซต์

ประเภทของโฮสติ้งและความเร็วในการโหลด

  1. Shared Hosting: โฮสติ้งประเภทนี้เป็นการแบ่งปันทรัพยากรกับเว็บไซต์อื่นๆ บนเซิร์ฟเวอร์เดียวกัน ซึ่งอาจทำให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรและส่งผลให้ความเร็วในการโหลดเพจลดลงในช่วงเวลาที่มีการใช้งานสูง.
  2. VPS Hosting (Virtual Private Server): โฮสติ้งประเภทนี้แบ่งทรัพยากรออกเป็นส่วนย่อยๆ แต่ละส่วนจะถูกจัดสรรให้กับผู้ใช้แต่ละคน ทำให้มีความเสถียรมากขึ้นและความเร็วในการโหลดที่ดีกว่า Shared Hosting.
  3. Dedicated Hosting: โฮสติ้งประเภทนี้ให้ผู้ใช้มีเซิร์ฟเวอร์ของตนเอง ซึ่งสามารถปรับแต่งและควบคุมทรัพยากรได้เต็มที่ ทำให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและความเร็วในการโหลดเพจที่ดีเยี่ยม.
  4. Cloud Hosting: โฮสติ้งบนคลาวด์ใช้เซิร์ฟเวอร์หลายตัวเพื่อกระจายโหลดและเพิ่มความเสถียรและความเร็วในการโหลดเพจ นอกจากนี้ยังสามารถปรับขยายทรัพยากรได้ตามต้องการ.

ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกโฮสติ้ง

  1. ความเร็วและความเสถียร: ตรวจสอบความเร็วของเซิร์ฟเวอร์และความเสถียรในการให้บริการ รวมถึงดูรีวิวจากผู้ใช้งานคนอื่นๆ.
  2. ที่ตั้งของเซิร์ฟเวอร์: เลือกโฮสติ้งที่มีเซิร์ฟเวอร์ใกล้กับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้การโหลดเพจเร็วขึ้น.
  3. ทรัพยากรที่จัดสรรให้: พิจารณาปริมาณ RAM, CPU และพื้นที่ดิสก์ที่จัดสรรให้ รวมถึงความสามารถในการปรับขยายทรัพยากรในอนาคต.
  4. การสนับสนุนทางเทคนิค: เลือกโฮสติ้งที่มีบริการสนับสนุนทางเทคนิคตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันที.
  5. เทคโนโลยีที่รองรับ: ตรวจสอบว่าโฮสติ้งรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น HTTP/2 หรือ HTTP/3 ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดเพจได้

การจัดการไฟล์และภาพ 

การจัดการไฟล์และภาพเป็นขั้นตอนสำคัญในการปรับปรุงความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ การที่ไฟล์มีขนาดใหญ่เกินไปจะทำให้เวลาในการโหลดเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่ไม่ดี ดังนั้น การบีบอัดและเพิ่มประสิทธิภาพไฟล์และภาพจะช่วยลดเวลาในการโหลดและเพิ่มประสบการณ์ของผู้ใช้งานได้อย่างมาก

1. การบีบอัดภาพ

การบีบอัดภาพเป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลดีในการลดขนาดของไฟล์ภาพโดยไม่ลดคุณภาพของภาพมากเกินไป

  • ใช้ฟอร์แมตที่เหมาะสม: เลือกใช้ฟอร์แมตที่เหมาะสมสำหรับภาพ เช่น JPEG สำหรับภาพถ่ายและภาพที่มีสีมาก, PNG สำหรับภาพที่มีความโปร่งใส, และ SVG สำหรับภาพเวคเตอร์
  • ใช้เครื่องมือบีบอัดภาพ: ใช้เครื่องมือออนไลน์เช่น TinyPNG, JPEG Optimizer หรือโปรแกรมเช่น Adobe Photoshop, GIMP เพื่อบีบอัดภาพ
  • บีบอัดภาพด้วยโค้ด: ใช้ปลั๊กอินหรือไลบรารีสำหรับบีบอัดภาพอัตโนมัติในเว็บไซต์ เช่น ImageMagick, WP Smush สำหรับ WordPress

2. การปรับขนาดภาพ

การใช้ภาพที่มีขนาดเหมาะสมสำหรับการแสดงผลเป็นสิ่งสำคัญ

  • ขนาดภาพที่เหมาะสม: ปรับขนาดภาพให้พอดีกับการแสดงผลที่ต้องการ ไม่ใช้ภาพที่มีขนาดใหญ่เกินความจำเป็น
  • ใช้ CSS และ HTML สำหรับการปรับขนาด: ใช้ CSS และ HTML ในการกำหนดขนาดภาพให้เหมาะสมกับการแสดงผลในทุกอุปกรณ์

3. การเพิ่มประสิทธิภาพไฟล์ภาพ

การเพิ่มประสิทธิภาพไฟล์ภาพช่วยให้การโหลดเว็บไซต์เร็วขึ้นและประหยัดแบนด์วิธ

  • เปิดใช้ Lazy Loading: Lazy Loading เป็นเทคนิคที่ช่วยโหลดภาพเฉพาะเมื่อผู้ใช้เลื่อนหน้าจอมาถึงตำแหน่งที่มีภาพ ซึ่งจะลดเวลาการโหลดหน้าเว็บทั้งหมด
  • ใช้ CDN: การใช้ Content Delivery Network (CDN) ช่วยให้การส่งข้อมูลภาพไปยังผู้ใช้เร็วขึ้น โดยการใช้เซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ผู้ใช้มากที่สุด
  • ใช้ WebP และ AVIF: ฟอร์แมตภาพใหม่เช่น WebP และ AVIF มีการบีบอัดที่ดีกว่า JPEG และ PNG โดยคุณภาพของภาพยังคงดีอยู่

4. การลดจำนวนไฟล์ภาพ

ลดจำนวนภาพที่ไม่จำเป็นในเว็บไซต์

  • เลือกใช้ภาพที่จำเป็นเท่านั้น: ใช้ภาพที่จำเป็นสำหรับเนื้อหาและลดการใช้ภาพที่ไม่จำเป็น
  • รวมภาพเป็น Sprite: รวมภาพเล็กๆ หลายๆ ภาพเข้าด้วยกันเป็นภาพใหญ่ภาพเดียว (Sprite) และใช้ CSS เพื่อแสดงภาพเฉพาะส่วนที่ต้องการ

การใช้งานแคชและ CDN (Content Delivery Network)

การใช้งานแคชและ CDN (Content Delivery Network) เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดเวลาโหลดและการกระจายเนื้อหาบนเว็บไซต์ ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้อย่างมากมาย

1. แคช (Caching)

การแคชเป็นกระบวนการที่ช่วยลดภาระงานของเซิร์ฟเวอร์และลดเวลาในการโหลดหน้าเว็บโดยการเก็บข้อมูลที่ถูกเรียกใช้บ่อยๆ ไว้ในหน่วยความจำที่เข้าถึงได้รวดเร็ว เมื่อผู้ใช้เข้าชมเว็บไซต์ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกดึงมาแสดงผลโดยไม่ต้องดึงจากเซิร์ฟเวอร์ต้นทางอีกครั้ง แคชสามารถทำได้หลายวิธีดังนี้:

  • Browser Caching: การตั้งค่าบราวเซอร์ให้เก็บข้อมูลบางส่วนของเว็บไซต์ เช่น ไฟล์ CSS, JavaScript, และรูปภาพไว้ในแคชของผู้ใช้ เพื่อให้การโหลดหน้าเว็บในครั้งต่อไปเป็นไปอย่างรวดเร็ว.
  • Server Caching: การตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ให้เก็บข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว เช่น หน้าผลการค้นหา หรือหน้าบทความที่ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อยๆ ไว้ในหน่วยความจำ เพื่อให้สามารถเรียกใช้งานได้ทันทีเมื่อมีการเรียกใช้.
  • Object Caching: การเก็บผลลัพธ์ของการเรียกใช้ข้อมูลที่ซับซ้อน เช่น การคำนวณหรือการดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล ไว้ในแคช เพื่อให้การเรียกใช้ในครั้งต่อไปทำได้รวดเร็ว.

2. CDN (Content Delivery Network)

CDN เป็นเครือข่ายของเซิร์ฟเวอร์ที่ตั้งกระจายอยู่ทั่วโลกเพื่อช่วยกระจายเนื้อหาของเว็บไซต์ให้กับผู้ใช้ที่อยู่ในภูมิภาคต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วขึ้น การใช้ CDN ช่วยลดระยะทางและเวลาในการโหลดข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ไปยังผู้ใช้ โดย CDN ทำงานดังนี้:

  • กระจายเนื้อหา (Content Distribution): CDN เก็บข้อมูลคงที่ของเว็บไซต์ เช่น ไฟล์ CSS, JavaScript, รูปภาพ, และวิดีโอไว้ในเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ผู้ใช้มากที่สุด เมื่อผู้ใช้เข้าชมเว็บไซต์ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกโหลดจากเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด แทนที่จะโหลดจากเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง.
  • ลดภาระงานของเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง: การใช้ CDN ช่วยแบ่งเบาภาระงานของเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง เพราะข้อมูลคงที่ถูกจัดเก็บและกระจายอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ.
  • เพิ่มความเสถียรและความพร้อมใช้งาน: CDN ช่วยให้เว็บไซต์สามารถให้บริการได้ตลอดเวลา แม้ว่าเซิร์ฟเวอร์ต้นทางจะมีปัญหา เนื่องจากข้อมูลถูกสำรองไว้ในเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ ทั่วโลก.

วิธีการตั้งค่าและใช้งานแคชและ CDN

การตั้งค่าแคชและ CDN อาจมีความซับซ้อนในบางกรณี แต่สามารถทำได้ง่ายขึ้นด้วยเครื่องมือและบริการต่างๆ ที่มีให้ใช้งานในปัจจุบัน เช่น:

  • การตั้งค่าแคชในไฟล์ .htaccess: สำหรับเว็บไซต์ที่ใช้ Apache สามารถตั้งค่าแคชผ่านไฟล์ .htaccess ได้โดยการเพิ่มคำสั่งสำหรับการเก็บข้อมูลในบราวเซอร์.
  • การใช้ปลั๊กอินแคชสำหรับ CMS: สำหรับเว็บไซต์ที่ใช้ระบบจัดการเนื้อหา (CMS) เช่น WordPress สามารถใช้ปลั๊กอินเช่น W3 Total Cache หรือ WP Super Cache เพื่อช่วยในการตั้งค่าแคชได้ง่ายขึ้น.
  • การใช้บริการ CDN: บริการ CDN ที่ได้รับความนิยม เช่น Cloudflare, Amazon CloudFront, และ Akamai สามารถช่วยกระจายเนื้อหาและเพิ่มความเร็วในการโหลดได้ โดยการสมัครใช้บริการและตั้งค่า DNS ของเว็บไซต์ให้ชี้ไปยัง CDN

การลดจำนวนการร้องขอ HTTP/HTTPS 

การลดจำนวนการร้องขอ HTTP/HTTPS – แนวทางในการลดการร้องขอเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพหน้าเว็บ

หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บคือการลดจำนวนการร้องขอ HTTP/HTTPS การร้องขอเหล่านี้เกิดขึ้นทุกครั้งที่เบราว์เซอร์ต้องดาวน์โหลดไฟล์ต่างๆ เช่น ภาพถ่าย, สคริปต์, และสไตล์ชีท การลดจำนวนการร้องขอเหล่านี้สามารถทำได้ผ่านหลายวิธี ดังนี้:

1. รวมไฟล์ CSS และ JavaScript

การรวมไฟล์ CSS และ JavaScript หลายๆ ไฟล์เข้าด้วยกันเป็นไฟล์เดียว จะช่วยลดจำนวนการร้องขอที่เบราว์เซอร์ต้องทำ ยกตัวอย่างเช่น แทนที่จะมีไฟล์ CSS หลายๆ ไฟล์ เราสามารถรวมไฟล์ทั้งหมดเป็นไฟล์เดียว และทำเช่นเดียวกันกับไฟล์ JavaScript วิธีนี้ไม่เพียงแค่ลดจำนวนการร้องขอ แต่ยังช่วยลดขนาดของไฟล์ที่ต้องดาวน์โหลดด้วย

2. ใช้ CSS Sprites

CSS Sprites เป็นเทคนิคที่ใช้รวมภาพหลายๆ ภาพไว้ในไฟล์ภาพเดียว แล้วใช้ CSS ในการแสดงผลเฉพาะส่วนของภาพที่ต้องการ วิธีนี้ช่วยลดจำนวนการร้องขอภาพได้อย่างมาก เนื่องจากเบราว์เซอร์ต้องดาวน์โหลดภาพเพียงไฟล์เดียวแทนที่จะต้องดาวน์โหลดหลายๆ ไฟล์

3. Lazy Loading

การใช้เทคนิค Lazy Loading จะช่วยให้เบราว์เซอร์โหลดเนื้อหาเฉพาะส่วนที่ผู้ใช้เห็นในตอนแรกเท่านั้น โดยเนื้อหาที่เหลือจะโหลดเมื่อผู้ใช้เลื่อนหน้าเว็บไปยังส่วนนั้น วิธีนี้ช่วยลดจำนวนการร้องขอที่เกิดขึ้นพร้อมกันในครั้งแรก และช่วยให้หน้าเว็บโหลดเร็วขึ้น

4. ใช้ Inline CSS และ JavaScript สำหรับเนื้อหาที่สำคัญ

การใช้ Inline CSS และ JavaScript สำหรับเนื้อหาที่สำคัญสามารถช่วยลดจำนวนการร้องขอได้ แต่ควรใช้วิธีนี้อย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ไฟล์ HTML ใหญ่เกินไป การใช้วิธีนี้จะทำให้เบราว์เซอร์ไม่ต้องร้องขอไฟล์แยกต่างหากสำหรับเนื้อหาที่สำคัญ ซึ่งสามารถเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าแรกของเว็บไซต์ได้

5. ลดจำนวนปลั๊กอินและส่วนขยาย

การลดจำนวนปลั๊กอินและส่วนขยายที่ไม่จำเป็นในเว็บไซต์ของคุณจะช่วยลดจำนวนการร้องขอ HTTP/HTTPS บางปลั๊กอินอาจมีการโหลดไฟล์ CSS หรือ JavaScript เพิ่มเติมที่ไม่จำเป็น ซึ่งสามารถลดประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้

6. ใช้เทคโนโลยี HTTP/2

HTTP/2 ช่วยให้เบราว์เซอร์สามารถส่งหลายๆ การร้องขอในเวลาเดียวกันได้ ซึ่งแตกต่างจาก HTTP/1.1 ที่การร้องขอแต่ละครั้งต้องรอคิว การใช้ HTTP/2 จะช่วยลดเวลาที่ใช้ในการดาวน์โหลดเนื้อหาทั้งหมดได้

7. ใช้การแคชอย่างเหมาะสม

การตั้งค่าแคชที่เหมาะสมจะช่วยลดจำนวนการร้องขอที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ผู้ใช้เข้าชมหน้าเว็บ โดยเบราว์เซอร์จะใช้ข้อมูลที่แคชไว้แทนที่จะต้องร้องขอข้อมูลใหม่ทุกครั้ง วิธีนี้ไม่เพียงแค่ช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ แต่ยังลดการใช้งานแบนด์วิดท์ของเซิร์ฟเวอร์อีกด้วย

การใช้งานข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ

เทคนิคการเรียกข้อมูลและแคชข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อลดภาระในการโหลดหน้าเว็บ

  1. การใช้ Lazy Loading: Lazy loading เป็นเทคนิคที่ช่วยในการโหลดข้อมูลเฉพาะเมื่อผู้ใช้ต้องการหรือเมื่อข้อมูลนั้นอยู่ในบริเวณที่ผู้ใช้สามารถเห็นได้ (viewport) ทำให้ไม่ต้องโหลดข้อมูลทั้งหมดในครั้งเดียว ลดภาระในการโหลดหน้าเว็บ.
  2. การจัดการและบีบอัดไฟล์ JSON และ XML: การเรียกข้อมูลจาก API มักจะมาในรูปแบบ JSON หรือ XML ควรทำการบีบอัดไฟล์เหล่านี้เพื่อลดขนาดและเร่งความเร็วในการโหลด สามารถใช้เทคนิค Gzip compression เพื่อช่วยในกระบวนการนี้.
  3. การแคชข้อมูล: การเก็บข้อมูลที่ใช้บ่อยในแคชทั้งในฝั่งเซิร์ฟเวอร์และฝั่งไคลเอนต์ ช่วยลดการเรียกข้อมูลซ้ำซ้อนและทำให้โหลดข้อมูลได้เร็วขึ้น ควรตั้งค่าเวลาเก็บแคชที่เหมาะสมเพื่อให้ข้อมูลที่โหลดมาเป็นข้อมูลที่ทันสมัย.
  4. การใช้ IndexedDB และ LocalStorage: IndexedDB และ LocalStorage เป็นพื้นที่จัดเก็บข้อมูลในเบราว์เซอร์ที่ช่วยเก็บข้อมูลที่จำเป็นไว้ในเครื่องของผู้ใช้ ลดการเรียกข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ในทุกครั้งที่มีการโหลดหน้าเว็บ.
  5. การใช้ Content Delivery Network (CDN): การใช้ CDN เพื่อแจกจ่ายเนื้อหาผ่านเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในหลายภูมิภาคทั่วโลก ช่วยลดเวลาในการโหลดเนื้อหาและเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียกข้อมูล.

การใช้และปรับแต่งเทคโนโลยีสมัยใหม่

การนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลด, เช่น HTTP/2 และ HTTP/3

  1. HTTP/2: HTTP/2 เป็นโปรโตคอลการรับส่งข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากกว่า HTTP/1.1 โดยมีคุณสมบัติหลายอย่างที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลด เช่น การใช้การเชื่อมต่อเดียวในการรับส่งหลายคำขอ (Multiplexing), การบีบอัดส่วนหัว (Header Compression), และการจัดลำดับความสำคัญของคำขอ (Request Prioritization).
  2. HTTP/3: HTTP/3 เป็นรุ่นล่าสุดของโปรโตคอล HTTP ซึ่งใช้โปรโตคอล QUIC ที่ถูกออกแบบมาเพื่อลดเวลาแฝงและเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูล โดยมีคุณสมบัติเช่น การลดเวลาแฝงในการเริ่มต้นการเชื่อมต่อ (Zero Round Trip Time Resumption), และการแก้ไขปัญหาในกรณีที่มีการสูญหายของแพ็กเก็ต (Packet Loss Recovery).
  3. การใช้ Service Workers: Service Workers เป็นสคริปต์ที่เบราว์เซอร์ทำงานเบื้องหลัง เพื่อจัดการแคชและการรับส่งข้อมูล ช่วยให้สามารถโหลดหน้าเว็บได้แม้ในขณะที่ไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (Offline Mode) และเพิ่มความเร็วในการโหลดข้อมูลที่ถูกแคชไว้.
  4. การใช้ Prefetching และ Preloading: Prefetching และ Preloading เป็นเทคนิคในการโหลดทรัพยากรล่วงหน้า เพื่อให้พร้อมใช้งานเมื่อผู้ใช้ต้องการ Prefetching จะโหลดทรัพยากรที่คาดว่าผู้ใช้จะต้องการในอนาคต ส่วน Preloading จะเน้นการโหลดทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการแสดงผลหน้าเว็บในทันที.
  5. การใช้ Accelerated Mobile Pages (AMP): AMP เป็นเฟรมเวิร์กที่ช่วยในการสร้างหน้าเว็บที่โหลดเร็วขึ้นโดยการกำจัดโค้ดที่ไม่จำเป็นและปรับปรุงโครงสร้างของหน้าเว็บให้เบาและเร็วขึ้น เหมาะสำหรับการใช้งานบนมือถือ

ตัวอย่างการปรับปรุงความเร็วในการโหลดจากแบรนด์ชั้นนำ 

การปรับปรุงความเร็วในการโหลด Page Speed เป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถสร้างความแตกต่างใหญ่หลวงในประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้ หลายบริษัทชั้นนำได้ตระหนักถึงความสำคัญนี้และได้ลงทุนเวลาและทรัพยากรในการปรับปรุงความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์ของพวกเขา เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและแนวทางปฏิบัติที่ดี นี่คือตัวอย่างของบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการปรับปรุงความเร็วในการโหลด:

1. Amazon

Amazon เป็นหนึ่งในเว็บไซต์ช้อปปิ้งออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขาได้ค้นพบว่าทุกๆ 100 มิลลิวินาทีที่เพิ่มขึ้นในการโหลดหน้าเว็บ ส่งผลให้ยอดขายลดลงประมาณ 1% Amazon จึงได้ดำเนินการปรับปรุงหลายอย่าง เช่น:

  • การใช้แคชและ CDN เพื่อกระจายเนื้อหาทั่วโลก ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้เร็วขึ้น
  • การบีบอัดภาพและไฟล์ต่างๆ เพื่อลดขนาดไฟล์และเวลาในการดาวน์โหลด
  • การลดจำนวนการร้องขอ HTTP โดยการรวมไฟล์ CSS และ JavaScript เข้าด้วยกัน

2. Walmart

Walmart พบว่าเมื่อพวกเขาปรับปรุงความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ของพวกเขา ยอดขายออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาได้ดำเนินการปรับปรุงดังนี้:

  • การใช้เทคนิค lazy loading เพื่อโหลดภาพและเนื้อหาเมื่อผู้ใช้เลื่อนหน้าเว็บมาถึง
  • การใช้เครื่องมือวิเคราะห์และปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์ เช่น Google PageSpeed Insights เพื่อหาจุดที่สามารถปรับปรุงได้
  • การลดจำนวนและขนาดของโฆษณาและสคริปต์ที่ไม่จำเป็น

3. BBC

BBC พบว่าความเร็วในการโหลดมีผลกระทบโดยตรงต่อจำนวนผู้เข้าชมและเวลาที่ใช้บนเว็บไซต์ พวกเขาได้ดำเนินการปรับปรุงดังนี้:

  • การใช้ AMP (Accelerated Mobile Pages) เพื่อปรับปรุงความเร็วในการโหลดสำหรับผู้ใช้งานมือถือ
  • การปรับปรุงโครงสร้าง HTML และ CSS ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • การลดขนาดและการบีบอัดไฟล์วิดีโอและภาพถ่าย

4. Pinterest

Pinterest ได้ปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บโดยการใช้เครื่องมือและเทคนิคหลากหลาย พวกเขาพบว่าการลดเวลาโหลดลง 40% ทำให้การมีส่วนร่วมของผู้ใช้เพิ่มขึ้น 15% พวกเขาได้ดำเนินการปรับปรุงดังนี้:

  • การใช้เทคนิคการโหลดแบบ progressive rendering ที่ช่วยให้เนื้อหาสำคัญแสดงผลก่อนในขณะที่เนื้อหาที่เหลือโหลดอยู่
  • การใช้เครื่องมือวิเคราะห์และปรับปรุงโค้ด เพื่อหาจุดที่ใช้เวลานานในการโหลดและทำการแก้ไข
  • การลดจำนวนและขนาดของสคริปต์ที่ไม่จำเป็น

คุณพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการตลาดของคุณและพาธุรกิจของคุณไปสู่ระดับต่อไปหรือยัง? หากคุณต้องการที่จะเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่าง ก้าวไปข้างหน้าด้วยเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณเข้าใจลูกค้าและตลาดของคุณได้ดีขึ้น ที่ SABLE เราพร้อมที่จะช่วยให้คุณทำการตลาดด้วยความมั่นใจ ด้วยเครื่องมือ Marketing Automation ที่ออกแบบมาเพื่อความเรียบง่ายและประสิทธิภาพสูงสุด

🚀 เข้าร่วมกับเราวันนี้ เพื่อปลดล็อกศักยภาพทางการตลาดของคุณ และเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ต้องการในเวลาอันรวดเร็ว

💡 ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร? ไม่ต้องกังวล เพราะทีมงานของเราพร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำคุณทุกขั้นตอน

🔗 คลิกที่ลิงก์นี้เพื่อลงทะเบียนสำหรับการสาธิตฟรี และเริ่มต้นการเดินทางทางการตลาดที่เต็มไปด้วยความสำเร็จกับ SABLE วันนี้!