กลยุทธ์ Retargeting ด้วย Marketing Automation

กลยุทธ์ Retargeting ด้วย Marketing Automation

กลยุทธ์ Retargeting ด้วย Marketing Automation:

ขั้นตอนการทำให้แคมเปญเข้าถึงผู้ชมที่เหมาะสม

การใช้กลยุทธ์การตลาดที่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและเฉพาะเจาะจงตามพฤติกรรมผู้บริโภคคือกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญและการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายอย่างมีประสิทธิผล หนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือการใช้เทคนิค กลยุทธ์ Retargeting ซึ่งเป็นการตลาดที่ใช้ข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้เพื่อสร้างแคมเปญที่เป็นส่วนตัวและมีความเกี่ยวข้องมากขึ้น ด้วยการใช้ Marketing Automation, ธุรกิจสามารถตั้งค่าเพื่อทำการตลาดใหม่อย่างอัตโนมัติและแม่นยำ เพื่อกระตุ้นความสนใจและเพิ่มโอกาสในการแปลงลูกค้าเป้าหมายที่เคยแสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของเราให้กลับมาอีกครั้ง บทความนี้จะพาท่านไปสำรวจขั้นตอนการทำให้แคมเปญ retargeting ทำงานอย่างไร้ที่ติ พร้อมทั้งขั้นตอนการตั้งค่าและปรับใช้ผ่านเครื่องมือ Marketing Automation อย่างละเอียดถี่ถ้วน ร่วมกับเราเพื่อเรียนรู้วิธีการทำให้แคมเปญของคุณเข้าถึงผู้ชมที่เหมาะสมอย่างมีประสิทธิภาพและทันสมัยยิ่งขึ้น

ความหมายของ Retargeting

Retargeting หรือ การติดตามลูกค้าใหม่ เป็นกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเน้นการนำลูกค้าที่เคยแสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณกลับมาอีกครั้ง โดยใช้โฆษณาที่ปรับแต่งตามพฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์หรือการกระทำบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น การเข้าชมเว็บไซต์ การเพิ่มสินค้าในตะกร้า แต่ไม่ได้ทำการซื้อ การใช้ Retargeting สามารถเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้าจริงได้

ตัวอย่างเช่น หากลูกค้าเข้าชมเว็บไซต์ของร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์และดูสินค้าในหมวดหมู่เสื้อกันหนาว แต่ไม่ได้ทำการซื้อ เมื่อเขาเข้าไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ ที่รองรับโฆษณา Retargeting เขาอาจเห็นโฆษณาเสื้อกันหนาวจากร้านขายเสื้อผ้าเดิมที่เขาเคยเข้าชม ซึ่งจะกระตุ้นให้เขากลับมาซื้อสินค้านั้น ๆ อีกครั้ง

ความสำคัญของ Marketing Automation ในการทำ Retargeting

Marketing Automation หรือ ระบบอัตโนมัติทางการตลาด คือการใช้เทคโนโลยีในการจัดการกระบวนการทางการตลาดและแคมเปญต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ ช่วยลดเวลาที่ใช้ในการดำเนินงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารกับลูกค้า

การใช้ Marketing Automation ในการทำ Retargeting มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจาก:

  1. การติดตามและเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างแม่นยำ: Marketing Automation ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามพฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างละเอียดและแม่นยำ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาใช้ในการสร้างแคมเปญ Retargeting ที่ตรงเป้าหมาย
  2. การส่งข้อความที่ตรงเวลาและเหมาะสม: ระบบอัตโนมัติช่วยให้การส่งโฆษณาและข้อความถึงลูกค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และตรงกับช่วงเวลาที่ลูกค้ามีโอกาสจะทำการซื้อมากที่สุด
  3. การปรับแต่งโฆษณาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย: Marketing Automation ช่วยในการปรับแต่งและส่งโฆษณาที่ตรงกับความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละคน ทำให้โอกาสในการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นลูกค้าจริงเพิ่มขึ้น
  4. การวัดผลและปรับปรุงแคมเปญ: ระบบอัตโนมัติสามารถช่วยในการวัดผลและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญ Retargeting ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทำให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงกลยุทธ์ได้ทันทีตามข้อมูลที่ได้รับ

ตัวอย่างเช่น ธุรกิจ e-commerce สามารถใช้ Marketing Automation ในการสร้างแคมเปญ Retargeting โดยติดตามพฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์และการกระทำของลูกค้า จากนั้นใช้ข้อมูลนี้ในการส่งโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าเคยดูหรือสนใจผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น อีเมล โซเชียลมีเดีย หรือโฆษณาบนเว็บไซต์อื่น ๆ ด้วยความแม่นยำและตรงเวลา

การระบุและกลุ่มเป้าหมาย

การระบุและการแบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำ Retargeting ด้วย Marketing Automation ที่จะช่วยให้การเข้าถึงลูกค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำให้แคมเปญสามารถเจาะจงไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมไม่เพียงแต่จะเพิ่มโอกาสในการขาย แต่ยังช่วยลดต้นทุนในการโฆษณาด้วย

การแบ่งกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม

การแบ่งกลุ่มเป้าหมายหรือ Segmentation เป็นขั้นตอนที่ใช้เพื่อจำแนกกลุ่มลูกค้าที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกันออกจากกัน เพื่อสร้างกลยุทธ์การตลาดที่ตรงกับความต้องการและพฤติกรรมของแต่ละกลุ่ม วิธีการแบ่งกลุ่มเป้าหมายที่นิยมใช้ ได้แก่:

แบ่งตามประชากรศาสตร์ (Demographic Segmentation)

  • อายุ, เพศ, รายได้, การศึกษา
  • ตัวอย่าง: แบรนด์เครื่องสำอางค์อาจแบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็นหญิงสาววัย 18-25 ปี ที่มีรายได้ระดับกลางถึงสูง

แบ่งตามพฤติกรรม (Behavioral Segmentation)

  • พฤติกรรมการซื้อ, การใช้งานสินค้า, ความภักดีต่อแบรนด์
  • ตัวอย่าง: ร้านค้าออนไลน์อาจแบ่งกลุ่มลูกค้าตามความถี่ในการซื้อ เช่น ลูกค้าที่ซื้อสินค้าอย่างน้อยเดือนละครั้ง

แบ่งตามจิตวิทยา (Psychographic Segmentation)

  • ไลฟ์สไตล์, ค่านิยม, บุคลิกภาพ
  • ตัวอย่าง: แบรนด์กีฬาที่แบ่งกลุ่มเป้าหมายตามไลฟ์สไตล์ เช่น คนรักสุขภาพที่ออกกำลังกายเป็นประจำ

แบ่งตามภูมิศาสตร์ (Geographic Segmentation)

  • ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์, ภูมิอากาศ, วัฒนธรรมท้องถิ่น
  • ตัวอย่าง: แบรนด์เสื้อผ้าที่แบ่งกลุ่มเป้าหมายตามภูมิอากาศ เช่น ลูกค้าที่อยู่ในพื้นที่หนาวเย็น

การใช้ข้อมูลจาก Customer Data Platform (CDP) ในการระบุกลุ่มเป้าหมาย

Customer Data Platform (CDP) เป็นเครื่องมือที่รวบรวมและจัดการข้อมูลลูกค้าจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เข้ามาไว้ในที่เดียว ทำให้สามารถวิเคราะห์และระบุกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลที่รวบรวมจาก CDP อาจประกอบด้วย:

ข้อมูลการทำธุรกรรม (Transactional Data)

ประวัติการซื้อ, มูลค่าการสั่งซื้อ, ประเภทสินค้า

ตัวอย่าง: ใช้ข้อมูลประวัติการซื้อเพื่อระบุกลุ่มลูกค้าที่ซื้อสินค้าบ่อยๆ และสร้างแคมเปญสำหรับลูกค้าที่ซื้อซ้ำ

ข้อมูลพฤติกรรมออนไลน์ (Online Behavior Data)

การเยี่ยมชมเว็บไซต์, การคลิก, การทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มออนไลน์

ตัวอย่าง: ใช้ข้อมูลการเยี่ยมชมเว็บไซต์เพื่อระบุกลุ่มลูกค้าที่เข้าชมสินค้าบ่อยๆ แต่ยังไม่ได้ซื้อ

ข้อมูลการโต้ตอบกับแบรนด์ (Engagement Data)

การตอบกลับอีเมล, การมีส่วนร่วมในโซเชียลมีเดีย

ตัวอย่าง: ใช้ข้อมูลการเปิดอีเมลและคลิกผ่านลิงก์เพื่อระบุกลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจสูง

ข้อมูลจากช่องทางอื่นๆ (Other Channel Data)

ข้อมูลจากร้านค้าออฟไลน์, ข้อมูลจากการบริการลูกค้า

ตัวอย่าง: ใช้ข้อมูลจากการบริการลูกค้าเพื่อระบุกลุ่มลูกค้าที่เคยมีปัญหาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ตัวอย่างประกอบ

สมมุติว่าแบรนด์เครื่องสำอางค์ “Beauty Bloom” ต้องการสร้างแคมเปญ Retargeting เพื่อดึงดูดลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าอีกครั้ง โดยใช้ข้อมูลจาก CDP เพื่อระบุกลุ่มเป้าหมาย:

การระบุกลุ่มลูกค้า

Beauty Bloom ใช้ข้อมูลจาก CDP เพื่อระบุกลุ่มลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าในหมวดลิปสติกภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา

ใช้ข้อมูลการเยี่ยมชมเว็บไซต์เพื่อหาลูกค้าที่เข้าชมหน้าโปรโมชั่นลิปสติกบ่อยๆ แต่ยังไม่ได้ซื้อ

การสร้างแคมเปญ Retargeting

สร้างแคมเปญโฆษณาออนไลน์ที่เจาะจงไปยังลูกค้าที่เคยซื้อหรือเข้าชมลิปสติก โดยเสนอส่วนลดพิเศษสำหรับการซื้อครั้งถัดไป

ส่งอีเมลโปรโมชั่นไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายพร้อมกับคูปองส่วนลดและข้อมูลสินค้าใหม่

การวัดผลและปรับปรุง

ใช้แดชบอร์ดวิเคราะห์ข้อมูลจากแคมเปญเพื่อดูจำนวนการคลิก, การเข้าชมเว็บไซต์, และการซื้อสินค้า

ปรับปรุงแคมเปญตามผลลัพธ์ที่ได้ เช่น เพิ่มการทำ A/B Testing เพื่อทดสอบคอนเทนต์และข้อเสนอที่มีประสิทธิภาพที่สุด

การใช้ CDP ทำให้ Beauty Bloom สามารถระบุกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ และสร้างแคมเปญ Retargeting ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มโอกาสในการขายและความพึงพอใจของลูกค้า

การสร้างแคมเปญ Retargeting ที่มีประสิทธิภาพ

การสร้างแคมเปญ Retargeting ที่มีประสิทธิภาพนั้นต้องการการวางแผนและการออกแบบที่สามารถเข้าถึงและตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ในบทความนี้ เราจะพูดถึงการออกแบบแคมเปญให้ตรงกับพฤติกรรมของลูกค้า และการใช้คอนเทนต์ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

การออกแบบแคมเปญให้ตรงกับพฤติกรรมของลูกค้า

การออกแบบแคมเปญ Retargeting ที่มีประสิทธิภาพต้องเริ่มจากการเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า โดยการใช้ข้อมูลจากการวิเคราะห์พฤติกรรมออนไลน์ของลูกค้า เช่น การเข้าชมเว็บไซต์ การคลิกที่โฆษณา การใส่สินค้าในตะกร้าแต่ยังไม่ได้ซื้อ และการค้นหาสินค้า

ตัวอย่าง:

  • ลูกค้าที่เข้าชมหน้าสินค้าแต่ยังไม่ได้ซื้อ: สำหรับลูกค้าที่เข้าชมหน้าสินค้าแต่ยังไม่ได้ทำการซื้อ คุณสามารถออกแบบแคมเปญที่นำเสนอโปรโมชั่นพิเศษหรือส่วนลดสำหรับสินค้านั้น ๆ เพื่อดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาซื้อ
  • ลูกค้าที่ใส่สินค้าในตะกร้าแต่ยังไม่ได้ชำระเงิน: สำหรับลูกค้าที่ใส่สินค้าในตะกร้าแต่ยังไม่ได้ชำระเงิน คุณสามารถส่งอีเมลเตือนหรือแสดงโฆษณาที่นำเสนอข้อเสนอพิเศษ เช่น การจัดส่งฟรี หรือส่วนลดเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าทำการชำระเงิน

การใช้คอนเทนต์ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย

การใช้คอนเทนต์ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญในการ Retargeting คอนเทนต์ที่ดีจะต้องสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างตรงจุดและน่าสนใจ การปรับคอนเทนต์ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายจะช่วยเพิ่มโอกาสในการคลิกและการแปลงเป็นยอดขาย

ตัวอย่าง:

  • คอนเทนต์สำหรับลูกค้าทั่วไป: การใช้ภาพหรือวิดีโอที่สวยงามและเนื้อหาที่เข้าใจง่าย เช่น การรีวิวสินค้า หรือการใช้งานสินค้าในชีวิตประจำวัน
  • คอนเทนต์สำหรับลูกค้ากลุ่มเฉพาะ: การนำเสนอคอนเทนต์ที่เฉพาะเจาะจงและตรงกับความสนใจของลูกค้า เช่น สำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบเทคโนโลยี การใช้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับฟีเจอร์ของสินค้าหรือการเปรียบเทียบกับสินค้าคู่แข่ง

ตัวอย่างกรณีศึกษา

กรณีศึกษา: ร้านค้าออนไลน์ ABC ร้านค้าออนไลน์ ABC ต้องการเพิ่มยอดขายจากลูกค้าที่เข้าชมเว็บไซต์แต่ยังไม่ได้ทำการซื้อสินค้า ทีมการตลาดของ ABC ได้วิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าและพบว่ามีลูกค้าจำนวนมากที่เข้าชมหน้าสินค้าแต่ยังไม่ได้ซื้อสินค้า ทีมจึงออกแบบแคมเปญ Retargeting โดยการนำเสนอโปรโมชั่นส่วนลด 10% สำหรับสินค้าที่ลูกค้าเข้าชม แต่ยังไม่ได้ซื้อ และใช้คอนเทนต์ที่แสดงรีวิวจากผู้ใช้จริงและวิดีโอสาธิตการใช้งานสินค้า

ผลลัพธ์จากการทำแคมเปญนี้พบว่ายอดขายจากลูกค้าที่กลับมาซื้อสินค้าหลังจากเห็นโฆษณาเพิ่มขึ้นถึง 25% และอัตราการคลิกผ่าน (Click-Through Rate) ของโฆษณาเพิ่มขึ้น 15% นอกจากนี้ ลูกค้ายังมีความพึงพอใจในสินค้ามากขึ้นจากการเห็นรีวิวและการสาธิตการใช้งาน

การสร้างแคมเปญ Retargeting ที่มีประสิทธิภาพนั้นต้องการการออกแบบและการใช้คอนเทนต์ที่ตรงกับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า การวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าและการปรับคอนเทนต์ให้เหมาะสมจะช่วยเพิ่มโอกาสในการแปลงลูกค้าที่เคยเข้าชมเว็บไซต์แต่ยังไม่ได้ทำการซื้อสินค้าให้กลับมาซื้อสินค้าจากเราอีกครั้ง

การใช้ Marketing Automation ในการ Retargeting

บทนำ: ทำความเข้าใจกับ Retargeting และ Marketing Automation Retargeting คือกลยุทธ์ที่นำมาประยุกต์ใช้ในการโฆษณาออนไลน์เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้าที่เคยเข้าชมเว็บไซต์หรือแสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของเรา แต่ยังไม่ได้ทำการซื้อหรือกระทำการตามที่เราต้องการ ขณะที่ Marketing Automation เป็นการใช้เทคโนโลยีในการจัดการและดำเนินการตลาดให้เป็นไปอย่างอัตโนมัติ ทำให้เราสามารถทำ Retargeting ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การตั้งค่าระบบอัตโนมัติในการติดตามลูกค้า

  1. การกำหนดเป้าหมาย (Goal Setting) ก่อนอื่นเราต้องกำหนดเป้าหมายของการทำ Retargeting เช่น การเพิ่มยอดขาย การเพิ่มจำนวนการลงทะเบียน หรือการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์
  2. การติดตั้ง Pixel หรือ Tags บนเว็บไซต์ การติดตั้ง Facebook Pixel, Google Ads Remarketing Tag หรือเครื่องมืออื่นๆ ที่สามารถติดตามพฤติกรรมของผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้ ทำให้เรารู้ว่าผู้เข้าชมแต่ละคนมีพฤติกรรมอย่างไรในเว็บไซต์
  3. การแบ่งกลุ่มเป้าหมาย (Audience Segmentation) การแบ่งกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมของผู้เข้าชม เช่น ผู้ที่เข้าชมหน้าผลิตภัณฑ์แต่ยังไม่ได้ซื้อ ผู้ที่ใส่สินค้าในตะกร้าแต่ยังไม่ได้ชำระเงิน เป็นต้น
  4. การสร้าง Workflow สำหรับ Retargeting การสร้าง Workflow ที่จะทำงานอัตโนมัติเพื่อส่งโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ เช่น การส่งอีเมลแจ้งเตือน การแสดงโฆษณาบน Facebook หรือ Google Ads

ตัวอย่าง: บริษัท A ใช้ Facebook Pixel ในการติดตามผู้เข้าชมเว็บไซต์ เมื่อพบว่ามีผู้ที่เข้าชมหน้าสินค้าแล้วออกจากเว็บไซต์โดยไม่ซื้อ บริษัทจึงสร้าง Workflow ใน Marketing Automation ที่จะส่งโฆษณาผลิตภัณฑ์ไปยังผู้เข้าชมเหล่านี้บน Facebook ทุกๆ สัปดาห์ พร้อมกับเสนอส่วนลดพิเศษเพื่อกระตุ้นให้ทำการซื้อ

การใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีในการทำ Retargeting

  1. การใช้ Facebook Custom Audiences การสร้างกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเอง (Custom Audiences) บน Facebook จากผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ที่กำหนดไว้
  2. การใช้ Google Ads Remarketing การสร้างแคมเปญ Remarketing บน Google Ads เพื่อแสดงโฆษณาไปยังผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์
  3. การใช้ Email Marketing Automation การส่งอีเมลติดตามผล (Follow-up emails) ไปยังลูกค้าที่เคยแสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์แต่ยังไม่ได้ทำการซื้อ เช่น การส่งอีเมลแจ้งเตือนการมีสินค้าในตะกร้าที่ยังไม่ได้ชำระเงิน
  4. การใช้เครื่องมือการวิเคราะห์ข้อมูล (Analytics Tools) การใช้เครื่องมือเช่น Google Analytics, Facebook Analytics ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้เข้าชมเว็บไซต์และประสิทธิภาพของแคมเปญ Retargeting

ตัวอย่าง: บริษัท B ใช้ Google Ads Remarketing ในการสร้างแคมเปญโฆษณาที่จะปรากฏบนเว็บไซต์ที่เป็นเครือข่ายของ Google Display Network ให้กับผู้เข้าชมที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของบริษัทและดูหน้าผลิตภัณฑ์แต่ยังไม่ได้ทำการซื้อ นอกจากนี้ บริษัท B ยังใช้ Email Marketing Automation ในการส่งอีเมลแจ้งเตือนถึงโปรโมชั่นพิเศษให้กับผู้ที่ใส่สินค้าในตะกร้าแต่ยังไม่ได้ชำระเงิน

ตัวอย่าง Case Study ที่ประสบความสำเร็จ: การนำเสนอกรณีศึกษาจากธุรกิจที่ใช้ กลยุทธ์ Retargeting ด้วย Marketing Automation อย่างมีประสิทธิภาพ

การทำ Retargeting ด้วย Marketing Automation เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงและกระตุ้นให้ลูกค้าที่เคยแสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการกลับมามีส่วนร่วมอีกครั้ง บทความนี้จะนำเสนอกรณีศึกษาของธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์นี้อย่างประสบความสำเร็จ เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ที่สนใจนำไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจของตน

กรณีศึกษา: บริษัท A – ธุรกิจ eCommerce

ภาพรวมบริษัท: บริษัท A เป็นธุรกิจ eCommerce ที่ขายเสื้อผ้าและเครื่องประดับออนไลน์ มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่และหลากหลายกลุ่ม

ปัญหาที่พบ: บริษัทพบว่ามีลูกค้าจำนวนมากที่เพิ่มสินค้าในตะกร้าแต่ไม่ได้ทำการสั่งซื้อ ทำให้พลาดโอกาสในการขายจำนวนมาก

กลยุทธ์ที่ใช้:

  1. การแบ่งกลุ่มเป้าหมาย: บริษัทใช้ CDP เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า แบ่งกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมการช็อปปิ้ง เช่น ลูกค้าที่เพิ่มสินค้าในตะกร้าแต่ไม่ทำการสั่งซื้อใน 7 วันที่ผ่านมา
  2. การสร้างแคมเปญ Retargeting: สร้างแคมเปญ Retargeting ที่มีคอนเทนต์เฉพาะเจาะจง โดยส่งอีเมลแจ้งเตือนลูกค้าเกี่ยวกับสินค้าที่ค้างอยู่ในตะกร้า พร้อมข้อเสนอพิเศษหรือส่วนลด
  3. การใช้ Marketing Automation: ใช้ระบบ Marketing Automation ในการส่งอีเมลและการแสดงโฆษณาบนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Facebook และ Google Ads โดยอัตโนมัติ

ผลลัพธ์:

  • อัตราการแปลงเพิ่มขึ้น: หลังจากเริ่มใช้แคมเปญ Retargeting บริษัทพบว่าอัตราการแปลงจากการเข้าชมเป็นการซื้อเพิ่มขึ้นถึง 30%
  • ยอดขายเพิ่มขึ้น: ยอดขายจากลูกค้าที่เคยทิ้งสินค้าในตะกร้าเพิ่มขึ้น 25% ในช่วงสามเดือนแรก
  • การมีส่วนร่วมของลูกค้า: ลูกค้ามีการตอบรับและมีส่วนร่วมกับอีเมลแจ้งเตือนมากขึ้น โดยมีอัตราการเปิดอีเมลเพิ่มขึ้นถึง 40%

กรณีศึกษา: บริษัท B – ธุรกิจการท่องเที่ยว

ภาพรวมบริษัท: บริษัท B เป็นเอเจนซี่ท่องเที่ยวที่ให้บริการจองทัวร์และแพ็คเกจท่องเที่ยว มีลูกค้าหลากหลายกลุ่มจากทั่วโลก

ปัญหาที่พบ: ลูกค้าส่วนใหญ่มักเข้ามาดูรายละเอียดทัวร์และแพ็คเกจท่องเที่ยว แต่ไม่ทำการจองทันที ทำให้บริษัทสูญเสียโอกาสในการขาย

กลยุทธ์ที่ใช้:

  1. การแบ่งกลุ่มเป้าหมาย: บริษัทใช้ข้อมูลจากเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียในการระบุและแบ่งกลุ่มลูกค้าที่เคยเข้ามาดูรายละเอียดทัวร์แต่ไม่จอง
  2. การสร้างแคมเปญ Retargeting: สร้างแคมเปญ Retargeting โดยใช้โฆษณาบน Facebook และ Google Ads เพื่อแสดงทัวร์ที่ลูกค้าสนใจ พร้อมข้อเสนอพิเศษ เช่น ส่วนลดหรือบริการเพิ่มเติม
  3. การใช้ Marketing Automation: ใช้ Marketing Automation ในการส่งอีเมลแจ้งเตือนและข้อเสนอพิเศษให้กับลูกค้าที่เคยแสดงความสนใจทัวร์ในช่วง 14 วันที่ผ่านมา

ผลลัพธ์:

  • อัตราการจองเพิ่มขึ้น: อัตราการจองทัวร์เพิ่มขึ้นถึง 20% หลังจากเริ่มใช้แคมเปญ Retargeting
  • ยอดขายเพิ่มขึ้น: ยอดขายจากทัวร์ที่ใช้แคมเปญ Retargeting เพิ่มขึ้น 18% ในช่วงสามเดือนแรก

ความพึงพอใจของลูกค้า: ลูกค้ามีความพึงพอใจมากขึ้น เนื่องจากได้รับข้อมูลและข้อเสนอที่ตรงกับความสนใจ

กรณีศึกษาทั้งสองนี้แสดงให้เห็นว่าการทำ Retargeting ด้วย Marketing Automation สามารถช่วยเพิ่มอัตราการแปลงและยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้ข้อมูลลูกค้าในการแบ่งกลุ่มเป้าหมาย สร้างแคมเปญที่เหมาะสม และใช้เทคโนโลยีในการติดตามและวิเคราะห์ผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง ธุรกิจต่างๆ สามารถนำแนวทางเหล่านี้ไปปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาดและการขายได้

เพื่อไม่ให้คุณพลาดโอกาสในการพัฒนาธุรกิจของคุณให้เติบโตและมีประสิทธิภาพมากขึ้น, SABLE ขอเชิญชวนคุณเริ่มต้นใช้งานเครื่องมือ Marketing Automation ที่จะเปลี่ยนการตลาดแบบดั้งเดิมของคุณให้กลายเป็นระบบการตลาดอัตโนมัติที่ชาญฉลาด แม่นยำ และตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าคุณจะต้องการจัดการกับข้อมูลลูกค้าจำนวนมหาศาล, สร้างแคมเปญที่มีเป้าหมายแม่นยำ, หรือวัดผลการตลาดอย่างเป็นระบบ SABLE พร้อมเป็นหุ้นส่วนที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย

🌟 อย่ารอช้า! สมัครใช้งาน SABLE วันนี้เพื่อปรับเปลี่ยนการตลาดของคุณไปอีกขั้น คลิกที่นี่เพื่อลงทะเบียนทดลองใช้งานฟรีและเริ่มต้นเดินทางสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัล

บทความใกล้เคียง