เทคนิคการเพิ่ม ROI ในการทำ Content Marketing และ Social Media Marketing
ในการทำ Content Marketing และ Social Media Marketing เป็น เทคนิคการเพิ่ม ROI โดยกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถวัดผลได้เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด เป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้ธุรกิจมีแนวทางในการทำงานที่ตรงไปตรงมาและสามารถติดตามความสำเร็จของแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพ การตั้งเป้าหมายจะต้องเป็นไปตามหลัก SMART คือ Specific (เฉพาะเจาะจง), Measurable (สามารถวัดได้), Achievable (สามารถทำได้), Relevant (เกี่ยวข้องกับธุรกิจ), และ Time-bound (กำหนดเวลาได้)
ตัวอย่างเป้าหมายที่วัดผลได้ใน Content Marketing และ Social Media Marketing:
- เพิ่มยอดขายผ่านเว็บไซต์
เป้าหมายนี้อาจเป็นการเพิ่มยอดขายบนเว็บไซต์จากการทำ Content Marketing โดยตั้งเป้าหมายว่าในช่วงเวลา 6 เดือน จะเพิ่มยอดขายขึ้น 20% ผ่านการโปรโมตเนื้อหาบน Social Media ที่ส่งผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์ - เพิ่มการมีส่วนร่วม (Engagement) บนแพลตฟอร์ม Social Media
การเพิ่มการมีส่วนร่วมอาจรวมถึงการเพิ่มจำนวนการกดไลค์, คอมเมนต์, แชร์, หรือการคลิกดูข้อมูลในโพสต์ต่าง ๆ ของแบรนด์ ตัวอย่างเช่น กำหนดเป้าหมายที่จะเพิ่มอัตราการมีส่วนร่วมขึ้น 15% ใน 3 เดือน ด้วยการปรับปรุงเนื้อหาที่ให้คุณค่ากับผู้ชม - เพิ่มจำนวนผู้ติดตาม (Followers)
ธุรกิจสามารถตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น การเพิ่มผู้ติดตามบน Instagram ขึ้น 10,000 คนในระยะเวลา 4 เดือนผ่านการใช้แคมเปญคอนเทนต์ที่เน้นการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์
การวัดผลลัพธ์:
หลังจากที่กำหนดเป้าหมายแล้ว การใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อวัดผลลัพธ์เป็นสิ่งสำคัญ เช่น การใช้ Google Analytics ในการติดตามทราฟฟิกจาก Social Media ไปยังเว็บไซต์ หรือการใช้เครื่องมือของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ อย่าง Facebook Insights, Instagram Insights เพื่อวัดผล Engagement, Reach, และ Conversion ที่เกิดขึ้น
ตัวอย่างจากธุรกิจจริง:
ธุรกิจ E-commerce ที่เน้นการขายเครื่องสำอางออนไลน์กำหนดเป้าหมายเพิ่มยอดขายผ่าน Facebook Ads โดยใช้ Content Marketing ในการนำเสนอเคล็ดลับการแต่งหน้า พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง หลังจาก 6 เดือน พบว่ายอดขายผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น 25% เนื่องจากแคมเปญที่มุ่งเน้นไปที่การให้ข้อมูลที่มีคุณค่าและกระตุ้นให้ลูกค้าสนใจในผลิตภัณฑ์
สร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ผู้ชมเป้าหมาย
การสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ชมเป้าหมายเป็นหัวใจสำคัญในการเพิ่ม ROI ในการทำ Content Marketing และ Social Media Marketing
วิเคราะห์และเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง
ก่อนที่จะเริ่มสร้างคอนเทนต์ใดๆ การทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง คุณควรศึกษาข้อมูลประชากรศาสตร์ (เช่น อายุ เพศ รายได้) ความสนใจ พฤติกรรมการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ และปัญหาหรือความต้องการของพวกเขา การวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถสร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจและมีคุณค่าต่อผู้ชม
คอนเทนต์ที่ตรงกับความต้องการและปัญหาของผู้ชมจะช่วยสร้างความสนใจและความผูกพัน
เมื่อคุณเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างถ่องแท้ คุณจะสามารถสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการและแก้ไขปัญหาของพวกเขาได้ ซึ่งจะช่วยดึงดูดความสนใจ สร้างความประทับใจ และกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์ของคุณ ผู้ชมจะรู้สึกว่าคุณเข้าใจพวกเขา และมองว่าแบรนด์ของคุณเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ซึ่งจะนำไปสู่ความผูกพันในระยะยาว
ตัวอย่างการสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ผู้ชมเป้าหมาย:
- แบรนด์เครื่องสำอาง: หากกลุ่มเป้าหมายของคุณเป็นผู้หญิงวัยทำงานที่สนใจเรื่องความงาม คุณอาจสร้างคอนเทนต์เกี่ยวกับเคล็ดลับการแต่งหน้าที่รวดเร็วและง่ายสำหรับวันทำงาน หรือรีวิวผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย
- บริษัทเทคโนโลยี: หากกลุ่มเป้าหมายของคุณเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ คุณอาจสร้างคอนเทนต์เกี่ยวกับเทรนด์เทคโนโลยีล่าสุด หรือวิธีการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
- ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ: หากกลุ่มเป้าหมายของคุณเป็นผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ คุณอาจสร้างคอนเทนต์เกี่ยวกับสูตรอาหารเพื่อสุขภาพ หรือเคล็ดลับในการดูแลสุขภาพ
ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
การสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ผู้ชมเป้าหมายจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดของคุณในหลายด้าน เช่น:
- เพิ่มการเข้าถึง: คอนเทนต์ที่น่าสนใจและมีคุณค่าจะถูกแชร์และบอกต่อ ทำให้แบรนด์ของคุณเข้าถึงผู้ชมได้มากขึ้น
- เพิ่ม Engagement: ผู้ชมจะมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์ของคุณมากขึ้น เช่น การกดไลค์ แสดงความคิดเห็น และแชร์
- เพิ่ม Conversion: คอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ชมจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อ หรือดำเนินการตามที่คุณต้องการ
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า: การสร้างคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์จะช่วยสร้างความไว้วางใจและความภักดีต่อแบรนด์
การสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ผู้ชมเป้าหมายเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่ม ROI ในการทำ Content Marketing และ Social Media Marketing โดยการวิเคราะห์และเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง สามารถสร้างคอนเทนต์ที่ดึงดูดความสนใจ สร้างความผูกพัน และกระตุ้นให้เกิด Conversion ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีขึ้นในระยะยาว
ใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการทำงานอย่างต่อเนื่อง
การติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลจากแคมเปญบน Social Media อย่างสม่ำเสมอเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและ ROI ในการทำ Content Marketing ข้อมูลเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณเข้าใจว่าเนื้อหาประเภทใดที่ผู้ชมตอบสนองมากที่สุด แพลตฟอร์มไหนที่ให้ผลตอบแทนสูง และเวลาที่เหมาะสมในการโพสต์คอนเทนต์ ตัวอย่างเช่น:
- การติดตาม Engagement
ข้อมูลเช่นจำนวนการกดไลค์, คอมเมนต์, แชร์, และคลิกบนลิงก์ สามารถบอกได้ว่าเนื้อหาใดเป็นที่นิยมและมีการตอบสนองดี ตัวอย่างเช่น หากคุณพบว่าโพสต์ที่มีวิดีโอได้รับ Engagement สูงกว่าโพสต์ที่เป็นรูปภาพ คุณสามารถนำข้อมูลนี้มาปรับกลยุทธ์ในการสร้างเนื้อหาที่ใช้วิดีโอมากขึ้น - วิเคราะห์ Conversion Rate
Conversion Rate เป็นข้อมูลสำคัญในการวัดผลลัพธ์ของแคมเปญ โดยดูว่ามีผู้ที่ทำตามเป้าหมายที่คุณตั้งไว้มากน้อยแค่ไหน เช่น การสมัครรับข่าวสารหรือการซื้อสินค้าผ่าน Social Media หาก Conversion Rate ต่ำ คุณสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อปรับปรุงการออกแบบเนื้อหาหรือกระบวนการ Conversion เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ - ปรับกลยุทธ์ตาม Real-Time Data
ข้อดีของ Social Media คือการที่คุณสามารถติดตามผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันที เช่น หากคุณพบว่าโพสต์ในช่วงเวลาหนึ่งมี Engagement ต่ำกว่าที่คาด คุณสามารถปรับเปลี่ยนเวลาโพสต์ให้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่ผู้ชมมีการใช้งานสูงสุด - การใช้ Tools ช่วยวิเคราะห์
การใช้เครื่องมือวิเคราะห์อย่าง Google Analytics, Facebook Insights, หรือเครื่องมืออื่นๆ ในการติดตามพฤติกรรมผู้ใช้จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของแคมเปญได้ชัดเจนขึ้น ตัวอย่างเช่น หากพบว่ากลุ่มผู้ชมจาก Instagram มีการตอบสนองต่อเนื้อหาในรูปแบบภาพกราฟิกดีกว่าเนื้อหาที่เป็นข้อความ คุณสามารถมุ่งเน้นการสร้างเนื้อหาภาพกราฟิกเพิ่มขึ้นในอนาคต
ตัวอย่างการใช้งานจริง
สมมติว่าคุณกำลังจัดแคมเปญ Content Marketing เพื่อโปรโมทสินค้าผ่านหลายแพลตฟอร์ม เช่น Facebook และ Instagram หลังจากดำเนินการได้ 2 สัปดาห์ คุณพบว่าโพสต์ที่มีคำกระตุ้นให้ผู้ชมเข้าร่วมกิจกรรมบน Facebook มี Engagement ต่ำ คุณสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการปรับโพสต์ให้มีข้อความที่ชัดเจนขึ้น หรือเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอเป็นวิดีโอเพื่อดึงดูดความสนใจมากขึ้น
ใช้การทำ Personalization
การทำ Personalization หรือการปรับแต่งเนื้อหาให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและความสนใจของแต่ละบุคคล ถือเป็นหนึ่งในเทคนิคที่มีประสิทธิภาพสูงในการเพิ่ม ROI ในการทำ Content Marketing และ Social Media Marketing
หลักการสำคัญของ Personalization คือ การนำข้อมูลของลูกค้ามาใช้ในการสร้างเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการและความสนใจของพวกเขา ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าเนื้อหามีความเกี่ยวข้องและมีคุณค่าสำหรับพวกเขา ส่งผลให้เกิด อัตราการตอบสนอง (Engagement Rate) ที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการคลิก การอ่าน การแชร์ หรือการซื้อสินค้า
นอกจากนี้ การทำ Personalization ยังช่วยสร้าง ความภักดีในแบรนด์ (Brand Loyalty) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะลูกค้าจะรู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจและใส่ใจในความต้องการของพวกเขา ทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะกลับมาซื้อสินค้าหรือบริการซ้ำ และแนะนำแบรนด์ให้กับคนอื่นๆ
ตัวอย่างการใช้ Personalization
- การส่งอีเมล: แทนที่จะส่งอีเมลแบบเดียวกันให้กับลูกค้าทุกคน คุณสามารถใช้ข้อมูล เช่น ประวัติการซื้อ หรือพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ เพื่อส่งอีเมลที่มีเนื้อหาและข้อเสนอที่ตรงกับความสนใจของลูกค้าแต่ละราย
- การแสดงโฆษณา: คุณสามารถใช้ข้อมูล เช่น ความสนใจ หรือตำแหน่งที่ตั้ง เพื่อแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าแต่ละคนบนโซเชียลมีเดีย หรือเว็บไซต์ต่างๆ
- การปรับแต่งเนื้อหาบนเว็บไซต์: คุณสามารถใช้ข้อมูล เช่น ประวัติการเข้าชม หรือสินค้าที่เคยซื้อ เพื่อแสดงเนื้อหาหรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าแต่ละคนเมื่อพวกเขาเข้าชมเว็บไซต์
เพิ่มประสิทธิภาพผ่านการใช้ A/B Testing
A/B Testing เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการทำ Content Marketing และ Social Media Marketing เพื่อช่วยให้คุณสามารถวัดผลและปรับปรุงเนื้อหาให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ดีที่สุด โดยการทดสอบนี้จะช่วยให้คุณทราบว่าเนื้อหารูปแบบใดมีประสิทธิภาพสูงสุดในการสร้างผลลัพธ์ที่ดี เช่น การมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน (Engagement), อัตราการคลิก (Click-Through Rate หรือ CTR), หรือยอดขายที่เพิ่มขึ้น
ขั้นตอนการทำ A/B Testing:
- กำหนดเป้าหมายที่ต้องการทดสอบ
เริ่มต้นด้วยการระบุสิ่งที่คุณต้องการวัด เช่น ต้องการเพิ่มยอดคลิกไปยังเว็บไซต์ ต้องการเพิ่มอัตราการมีส่วนร่วม หรือสร้างยอดขายจากโฆษณาใน Social Media เป้าหมายเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดว่าส่วนไหนของเนื้อหาที่คุณจะทดสอบ - เลือกปัจจัยที่ต้องการทดสอบ
เลือกองค์ประกอบที่ต้องการทดสอบระหว่าง A และ B เช่น:- หัวข้อ (Headline)
- ภาพประกอบ (Visual)
- ข้อความ Call-to-Action (CTA)
- เวลาที่โพสต์ คุณควรทดสอบทีละองค์ประกอบเท่านั้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน
- แบ่งกลุ่มเป้าหมายอย่างเท่าเทียม
แบ่งกลุ่มเป้าหมายออกเป็นสองกลุ่มที่มีลักษณะและพฤติกรรมใกล้เคียงกัน เพื่อให้ผลการทดสอบสามารถสะท้อนประสิทธิภาพของเนื้อหาได้อย่างชัดเจน โดยให้กลุ่ม A เห็นเนื้อหารูปแบบหนึ่ง และกลุ่ม B เห็นอีกรูปแบบหนึ่ง - วัดและวิเคราะห์ผลลัพธ์
หลังจากที่ทำการทดสอบแล้ว ให้ติดตามผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง เช่น อัตราการคลิกเข้าเว็บไซต์, อัตราการมีส่วนร่วม, ยอดขาย หรือการสมัครสมาชิก เพื่อหาว่าเนื้อหารูปแบบใดให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ตัวอย่างการใช้ A/B Testing
สมมติว่าคุณกำลังทำแคมเปญโฆษณาบน Facebook เพื่อโปรโมทสินค้า คุณสามารถทำ A/B Testing โดยทดสอบหัวข้อโฆษณา 2 รูปแบบ:
- แบบ A: “ลด 50% เฉพาะวันนี้เท่านั้น!”
- แบบ B: “รับส่วนลดพิเศษ 50% เมื่อซื้อสินค้าภายใน 24 ชั่วโมง!”
จากนั้นให้กลุ่มเป้าหมายครึ่งหนึ่งเห็นโฆษณาแบบ A และอีกครึ่งหนึ่งเห็นแบบ B เมื่อทดสอบเสร็จ คุณอาจพบว่าหัวข้อแบบ B ได้รับคลิกและยอดขายมากกว่าแบบ A ซึ่งสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อปรับปรุงโฆษณาให้เน้นที่หัวข้อแบบ B ในแคมเปญต่อไป
ประโยชน์จากการใช้ A/B Testing
การทำ A/B Testing ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณค้นพบเนื้อหาที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น แต่ยังช่วยให้คุณใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะคุณสามารถเน้นที่เนื้อหาที่ให้ผลลัพธ์สูงสุด ลดการเสียเวลาและงบประมาณในเนื้อหาที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งในระยะยาวจะช่วยเพิ่ม ROI ได้อย่างชัดเจน
เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
อีก เทคนิคการเพิ่ม ROI คือ การเลือกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ถือเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและ ROI ของการทำ Content Marketing และ Social Media Marketing การทำความเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายใช้งานแพลตฟอร์มใดเป็นหลัก จะช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ
เหตุผลที่การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำคัญ:
- เพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย: การเผยแพร่คอนเทนต์บนแพลตฟอร์มที่กลุ่มเป้าหมายใช้งานอยู่เป็นประจำ จะช่วยให้คอนเทนต์เข้าถึงพวกเขาได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสสร้างการรับรู้และความสนใจในแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์มากขึ้น
- สร้างปฏิสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ: การมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายบนแพลตฟอร์มที่พวกเขาคุ้นเคย จะช่วยให้คุณสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ที่เป็นธรรมชาติและมีความหมาย ซึ่งนำไปสู่ความไว้วางใจและความภักดีต่อแบรนด์
- เพิ่มประสิทธิภาพของงบประมาณ: การโฟกัสทรัพยากรและงบประมาณไปที่แพลตฟอร์มที่กลุ่มเป้าหมายใช้งาน จะช่วยให้คุณใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า และหลีกเลี่ยงการสูญเสียทรัพยากรไปกับแพลตฟอร์มที่ไม่เกิดประโยชน์
ตัวอย่างการเลือกแพลตฟอร์ม:
- Facebook: เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย เนื่องจากมีผู้ใช้งานจำนวนมากและหลากหลายช่วงอายุ
- Instagram: เหมาะสำหรับธุรกิจที่เน้นการสร้างแบรนด์และภาพลักษณ์ที่สวยงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแฟชั่น ความงาม อาหาร และการท่องเที่ยว
- LinkedIn: เหมาะสำหรับธุรกิจ B2B ที่ต้องการสร้างความน่าเชื่อถือและสร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม
เคล็ดลับในการเลือกแพลตฟอร์ม:
- ศึกษาข้อมูลประชากรของผู้ใช้งาน: แต่ละแพลตฟอร์มมีข้อมูลประชากรของผู้ใช้งานที่แตกต่างกัน เช่น อายุ เพศ รายได้ และความสนใจ
- วิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย: สังเกตว่ากลุ่มเป้าหมายมีพฤติกรรมการใช้งานโซเชียลมีเดียอย่างไร พวกเขาชอบคอนเทนต์ประเภทใด และมีส่วนร่วมกับแบรนด์อย่างไร
- ทดลองและวัดผล: ทดลองใช้แพลตฟอร์มต่างๆ และวัดผลลัพธ์ เพื่อดูว่าแพลตฟอร์มใดให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด
ใช้ Automation ในการจัดการและส่งเนื้อหา
การใช้เครื่องมือ Automation สำหรับการจัดการและส่งเนื้อหาเป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยเพิ่ม ROI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกรณีที่คุณต้องดูแลหลายแพลตฟอร์มพร้อมกัน การใช้เครื่องมือเหล่านี้ช่วยลดภาระงานในการโพสต์เนื้อหาและทำให้คุณสามารถโฟกัสกับการพัฒนาเนื้อหาที่มีคุณภาพได้มากขึ้น
หนึ่งในข้อดีของการใช้ Automation คือการตั้งเวลาโพสต์ล่วงหน้า (Scheduling) คุณสามารถจัดเตรียมคอนเทนต์ให้พร้อมและกำหนดเวลาการโพสต์ล่วงหน้า ทำให้เนื้อหาถูกปล่อยออกไปในเวลาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย แม้ในช่วงเวลาที่คุณไม่ได้ออนไลน์ ตัวอย่างเครื่องมือที่ได้รับความนิยมในการจัดการคอนเทนต์ เช่น:
- Hootsuite: แพลตฟอร์มที่ช่วยให้คุณสามารถจัดการ Social Media หลายแพลตฟอร์มได้ในที่เดียว รวมถึงการติดตามผลการทำงานในแต่ละโพสต์ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลที่ชัดเจน
- Buffer: ช่วยให้คุณสามารถตั้งเวลาโพสต์ล่วงหน้า และดูการตอบสนองของผู้ชมในทุกแพลตฟอร์มจากแดชบอร์ดเดียว ทำให้สะดวกในการปรับกลยุทธ์การโพสต์ให้สอดคล้องกับผลลัพธ์
- HubSpot: นอกจากจะช่วยให้คุณสามารถจัดการการโพสต์แล้ว ยังรวมไปถึงการวิเคราะห์ข้อมูลและสร้าง Workflow อัตโนมัติที่ช่วยปรับแต่งและปรับปรุงการส่งข้อความถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างการใช้ Automation เพิ่ม ROI
ธุรกิจ E-commerce ขนาดกลางได้ใช้ Hootsuite ในการจัดการโพสต์เนื้อหาสินค้าบน Facebook และ Instagram โดยทีมงานสามารถตั้งเวลาโพสต์ล่วงหน้าในช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายมีการตอบสนองสูงสุด และใช้ข้อมูลจากการติดตามผลเพื่อปรับปรุงเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า การใช้ Automation นี้ทำให้ธุรกิจสามารถโฟกัสในการพัฒนาแคมเปญใหม่ ๆ และลดเวลาในการทำงานลงกว่า 30% ในขณะเดียวกันยังสามารถเพิ่มการมีส่วนร่วม (Engagement) บนแพลตฟอร์มได้ถึง 25% ซึ่งส่งผลให้ ROI ดีขึ้น